ตอนที่ 1 การประเมินสภาวะของผู้ป่วย ก่อนเริ่มการรักษาทางทันตกรรม ‘ไม่มี’ เงื่อนไขของ ‘เอชไอวี’
ในคู่มือ “แนวทางปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยทางทันตกรรม 2567 – DENTAL SAFETY GOALS & GUIDELINES 2024” (ฉบับปรับปรุงวันที่ 1 พฤษภาคม 2567) หน้า 15 ระบุถึงเกณฑ์ประเมินสภาวะของผู้ป่วย ก่อนเริ่มการรักษาทางทันตกรรม ประกอบด้วย…

- การวัดความดันโลหิตและชีพจร
1.1 ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป วัดความดันโลหิตและชีพจร ก่อนเริ่มการรักษาแต่ละครั้ง
1.2 ผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า 13 ปี และมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนจากโรคความดันโลหิตสูง (มี 10 กลุ่มโรค) ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูงชนิดทราบสาเหตุ โรคไตเรื้อรัง โรคเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2 การปลูกถ่ายอวัยวะ โรคอ้วน ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น โรคหลอดเลือดแดงใหญ่คอดรุนแรงที่ได้รับการรักษาแล้ว โรคทางพันธุกรรมที่่สัมพันธ์กับโรคความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโรคความดันโลหิตสูงแล้ว และผู้ป่วยที่คลอดก่อนกำหนด โดยครั้งแรกที่มารับการรักษา ให้วัดความดันโลหิตและชีพจร เพื่อบันทึกเป็นข้อมูลเริ่มต้น และครั้งถัดไปที่มารับการรักษา ให้วัดความดันโลหิตและชีพจรก่อนเริ่มการรักษาที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด หรือความวิตกกังวล เช่น การฉีดยาชา หรือการถอนฟัน - การซักประวัติสุขภาพ ประวัติใช้ยา และประวัติแพ้ยา และสารอื่นของผู้ป่วยทุกรายก่อนเริ่มการรักษาแต่ละครั้ง
ตอนที่ 2 มาตรการพื้นฐานที่ใช้ควบคุมการติดเชื้อทางทันตกรรม ‘เพียงพอแล้ว’ สำหรับเอชไอวี
“มาตรฐานควบคุมการติดเชื้อทางทันตกรรม” (Standard Precaution) เป็นมาตรการพื้นฐานที่ใช้ควบคุมการติดเชื้อทางทันตกรรม เพื่อป้องกันผู้ป่วยและบุคลากร “ทุกคน” ติดเชื้อจากการปฏิบัติงาน พัฒนามาจากมาตรการ Universal precautions และ Body substance isolation
มีหลักการคือ
– ให้ปฏิบัติงานและควบคุมการติดเชื้อ เสมือนว่าเลือด น้ำลาย สารคัดหลั่ง (ยกเว้นเหงื่อ) เยื่อบุและผิวหนังที่มีบาดแผลหรือรอยถลอก (Non-intact skin) ของผู้ป่วยทุกราย อาจเป็นสิ่งติดเชื้อ
– สามารถป้องกันการแพร่กระจายเชื้อที่ติดต่อทางเลือด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
– นำมาใช้ปฏิบัติในงานทันตกรรมทุกงาน ต่อผู้ป่วยทันตกรรมทุกราย ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยโรคติดเชื้อหรือไม่ก็ตาม
– มาตรการ Standard Precaution ประกอบด้วย การทำความสะอาดมือ การใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล การดูแลสุขอนามัยทางเดินหายใจ และสร้างสุขนิสัยการไอจาม การฉีดยาอย่างปลอดภัย การจัดเตรียมเครื่องมือรักษาผู้ป่วย การดูแลพื้นผิวในคลินิก และการจัดการขยะและสิ่งมีคมอย่างเหมาะสม
Transmission-based precaution
– เป็นมาตรการที่นำมาใช้เพิ่มเติม เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
– แบ่งเป็น 3 ประเภท ตามช่องทางการแพร่กระจายเชื้อ คือ Contact precaution (ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อที่ติดต่อทางการสัมผัส), Droplet precaution (ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อที่ติดต่อทางละอองฝอย หรือหยดน้ำที่ฟุ้งกระจายออกมา) และ Airborne precaution (ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อที่ติดต่อทางอากาศ)
– นำมาใช้ปฏิบัติเมื่อมีผู้ป่วยทันตกรรมที่สงสัย หรือยืนยันว่าติดเชื้อที่ติดต่อทางการสัมผัส ทางละอองฝอย หรือทางอากาศ ซึ่งมาตรการ Standard precaution อย่างเดียว ไม่สามารถป้องกันการแพร่กระจายเชื้อผ่านช่องทางเหล่านี้ได้
– จำเป็นต้องใช้ร่วมกับมาตรการ Standard precaution เสมอ โดยจะเรียกรวมกันว่ามาตรการ Isolation precaution และหากเชื้อนั้นสามารถแพร่กระจายได้หลายช่องทาง ก็จำเป็นต้องใช้มาตรการ Transmission-based precaution มากกว่า 1 ประเภทมาประกอบกัน
– ควรนำมาใช้ในระยะเวลาที่จำกัด เช่น เฉพาะระยะที่แสดงอาการเจ็บป่วย หรือระยะที่สามารถแพร่กระจายเชื้อได้
ตัวอย่างการใช้มาตรการควบคุมการติดเชื้อต่อโรคติดเชื้อต่าง ๆ ทางทันตกรรม

ที่มาของข้อมูล: แนวทางปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยทางทันตกรรม 2567 – DENTAL SAFETY GOALS & GUIDELINES 2024 (ฉบับปรับปรุงวันที่ 1 พฤษภาคม 2567) https://dentalcouncil.or.th/Pages/DentalSafetyGoal