เราได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงในชีวิตว่าการสื่อสาร ‘เรื่องเอชไอวี’ ด้วยการขู่ให้กลัว หรือทำให้เอชไอวีเป็นเรื่องของคนไม่ดี ไม่เหมาะสม หรือเป็นเรื่องผิดศีลธรรมอันดีของสังคม รวมถึงการพยายามฉายภาพให้คนที่ติดเชื้อเอชไอวีมีอาการป่วยที่ดูน่ากลัว น่ารังเกียจ ไม่น่าเข้าใกล้นั้น ไม่เคยส่งผลดีให้กับใครเลยแม้ว่าจะมีเชื้อฯ หรือไม่ก็ตาม เพราะเป็นการตีตราที่ทำให้คนไม่กล้าเข้ามารับบริการด้านสุขภาพและยังสร้างปัญหาในการอยู่ร่วมกันอีกด้วย

แม้ว่าความก้าวหน้าด้านเอชไอวีในทางการแพทย์จะพัฒนาไปขนาดไหน หรือแนวทางการป้องกันและการรักษาเอชไอวีในประเทศเราจะปรับเปลี่ยนตามมาตรฐานไม่ด้อยไปกว่าประเทศอื่นอย่างไรก็ตาม แต่การสร้างภาพจำที่ทำให้เอชไอวีเป็นผู้ร้ายมาตั้งแต่อดีตกลายเป็น ‘อคติ’ ที่ยังไม่สามารถทลายกำแพงที่ฝังรากลึกออกไปได้ ทำให้ไม่เพียงแต่สังคมจะนำเอชไอวีมาเป็นเงื่อนไขในการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อคนที่มีเชื้อฯ เท่านั้น เช่น การไม่ให้ผู้ติดเชื้อฯ สมัครงาน หรือให้ผู้ติดเชื้อฯ เข้าทำฟันคิวสุดท้าย แต่ผู้ติดเชื้อฯ (บางคน) ก็ยังตีตราตัวเองอีกด้วย จึงเป็นอุปสรรคสำคัญของคนๆ หนึ่งที่จะตัดสินใจออกมาใช้ชีวิตในชุมชน ออกมาเรียน หรือออกมาทำงาน รวมถึงการเข้ามารับบริการด้านสุขภาพ ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ควรจะได้รับตามสิทธิขั้นพื้นฐาน

จริงๆ แล้ว อยากให้ทุกคนมองว่า ‘เอชไอวีเป็นเรื่องของทุกคน’ ที่พูดแบบนี้เพราะช่องทางสำคัญอย่างหนึ่งในการรับและส่งต่อเอชไอวี คือ ‘พฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน’ ซึ่งการมีเพศสัมพันธ์เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เอชไอวีจึงเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของคน ดังนั้น ไม่ว่าเราจะมีสถานะทางเพศแบบไหน อายุมากหรือน้อยก็ตามแต่ หากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการรับเชื้อเอชไอวีเหมือนกันหมด

เพียงแต่ที่ผ่านมาการสื่อสารไม่ได้ย้ำหรือให้น้ำหนักไปที่ “ความเสี่ยงนั้นคืออะไร” จึงทำให้คนไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องตรวจ เพราะไม่คิดว่าตัวเองเสี่ยง และที่ผ่านมาประเทศไทยมีการทำงานอย่างเข้มข้นใน ‘กลุ่มเสี่ยง’ เช่น กลุ่มพนักงานบริการทางเพศ กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วการมีเพศสัมพันธ์เพียงครั้งเดียวกับใครก็ตาม โดยไม่ได้ป้องกันก็ถือว่าเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีแล้ว เพราะไม่รู้ว่าคู่ของเราไปรับเชื้อมาจากใครก่อนหรือไม่ ทำให้ในระยะหลังมานี้คนที่ไม่คิดว่าตัวเองเป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น กลุ่มแม่บ้าน หรือแม้แต่ในกลุ่มเยาวชนกลับเป็นกลุ่มหลักในการติดเชื้อรายใหม่

เราไม่ได้ ‘โลกสวย’ ที่ต้องการให้เอชไอวีสื่อสารออกมาเฉพาะด้านบวก หรือนำเสนอแต่ด้านที่ดีๆ เพียงแต่อยากให้สังคมมองว่าเอชไอวี ‘เป็นสิ่งปกติ’ ของการดูแลสุขภาพ เหมือนกับการตรวจเบาหวาน ไขมัน จึงต้องทำให้ทุกคนมีความเข้าใจ สามารถประเมินความเสี่ยงของตัวเองได้ และอยากเดินเข้ามาตรวจเอชไอวีด้วยความสมัครใจ อย่างน้อยหากทุกคนทราบสถานะผลเลือดของตัวเองก็จะได้วางแผนชีวิตได้ว่าหลังจากนี้เราจะรักษาหรือป้องกันตัวเองจากเอชไอวีได้อย่างไรบ้าง

ยุพา สุขเรือง ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย