จากการประชุมสามัญของสหประชาชาติ (UN General Assembly) ที่กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่  24 กันยายนที่ผ่านมานั้น กลุ่มภาคประชาสังคมด้านสุขภาพนานาชาติประกาศการรณรงค์ระดับโลกเพื่อการเข้าถึงยา “ลีนาคาพาเวียร์” (Lenacapavir) ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสเอชไอวีชนิดฉีดที่ออกฤทธิ์นาน 6 เดือน สำหรับการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี โดยปัจจุบันราคายาต้นแบบ (Original) ของบริษัทยากิลิแอด (Gilead)  อยู่ที่ประมาณ 900,000 บาทต่อคนต่อปี ภาคประชาสังคมนานาชาติ จึงร่วมกันรณรงค์คัดค้านการจดสิทธิบัตรยา รวมถึงผลักดันให้ยามีราคา 40 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1,300 บาทต่อคนต่อปี ลดอุปสรรคการขึ้นทะเบียนยา และรณรงค์สื่อสารกับบริษัทกิลิแอดและรัฐบาลประเทศต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงยาได้อย่างทั่วถึง

ย้อนไปเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 บริษัทยากิลิแอด ได้ประกาศสัญญาการใช้ “สิทธิบัตรโดยสมัครใจ”กับยา“ลีนาคาพาเวียร์” ให้กับประเทศกำลังพัฒนา 115 ประเทศ และอีก 5 เขตอำนาจพิเศษ โดยมีประเทศไทยรวมอยู่ด้วย ที่จะมีโอกาสเข้าถึงยาชื่อสามัญ (Generic) ในราคาที่ถูกลง

ดังนั้น เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย ซึ่งเป็นเครือข่ายภาคประชาชนที่ติดตามและผลักดันให้ผู้ติดเชื้อฯ รวมถึงผู้ป่วยเรื้อรังอื่น ๆ ได้เข้าถึงยาที่จำเป็นอย่างมีมาตรฐานและทั่วถึง จึงมี 4 ข้อเรียกร้องเสนอไปยังภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันผลักดันให้ไทยมียาลีนาคาพาเวียร์โดยเร็วดังนี้

1. เรียกร้องไปยังบริษัทกิลิแอดซึ่งเป็นผู้ผลิตยาต้นแบบ ให้เร่งมาขึ้นทะเบียนยากับองค์การอาหารและยา (อย.) ของไทย โดยต้องระบุข้อบ่งใช้ทั้งการรักษาและการป้องกันเอชไอวี
2. ขอให้ อย. กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) องค์การเภสัชกรรม สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เร่งประสานงานไปยังบริษัทผลิตยาชื่อสามัญทั้ง 6 บริษัทที่ได้ลงนามตามข้อตกลงกับบริษัทยากิลีแอด ที่ประกาศมาตรการการใช้สิทธิบัตรโดยสมัครใจกับยาลีนาคาพาเวียร์ เพื่อเร่งให้มาขึ้นทะเบียนยากับ อย.
3. หากมีบริษัทยามาขอขึ้นทะเบียนยา อย. ควรจะดำเนินการพิจารณาการขึ้นทะเบียนยาตามมาตรฐานความปลอดภัยไม่ให้ล่าช้า เพื่อให้ประเทศไทยมียาลีนาคาพาเวียร์ใช้เร็วขึ้น
4. ให้ภาคประชาสังคม ร่วมกันรณรงค์ ส่งเสียงเรียกร้องให้บริษัทยา จำหน่ายยาลีนาคาพาเวียร์ให้ได้ 1,300บาทต่อคนต่อปี ตามที่มีการณรงค์ร่วมกันทั่วโลก
ยุพา สุขเรือง ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย

ยุพา สุขเรือง ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย กล่าวว่า เราขอเรียกร้องไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้เร่งเตรียมการนำยาลีนาพาคาเวียร์มาใช้ในประเทศโดยเร็ว ทั้งนี้ต้องต่อรองราคาให้ถูกกว่ายาในรูปแบบกินที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน หากทำได้ที่ราคา 40 ดอลลาร์ต่อคนต่อปีก็จะทำให้คนทุกกลุ่มมีในการเข้าถึงยาได้อย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น 

ยุพา กล่าวเพิ่มเติมว่า จริง ๆ แล้วการจะนำยาลีนาคาพาเวียร์เข้ามาในระบบหลักประกันสุขภาพนั้น ควรครอบคลุมทั้งด้านการรักษาและการป้องกัน แต่ตอนนี้แนวทางการตรวจวินิจฉัย การรักษา และป้องกันเอชไอวีของกระทรวงสาธารณสุข พบว่ายาลีนาพาคาเวียร์ยังใช้สำหรับการป้องกันการติดเชื้อฯ เท่านั้น จึงอยากให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเอดส์พิจารณาให้ยาลีนาพาคาเวียร์ใช้ในการรักษาของผู้ติดเชื้อฯ ด้วย เพื่อเป็นทางเลือกทั้งการป้องกันและการรักษาที่สอดคล้องกับความจำเป็นของแต่ละบุคคล ซึ่งจะช่วยให้ประเทศเดินหน้าเข้าสู่การยุติเอดส์ได้จริง

เฉลิมศักดิ์ กิตติตระกูล ผู้จัดการโครงการส่งเสริมการเข้าถึงยา เครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ

ด้าน เฉลิมศักดิ์ กิตติตระกูล ผู้จัดการโครงการส่งเสริมการเข้าถึงยา ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า สัญญาการให้ใช้ “สิทธิบัตรโดยสมัครใจ” ของกิลิแอด เป็นการเลือกปฏิบัติและไม่ชอบธรรม เพราะประเทศกำลังพัฒนาอีกหลายประเทศที่จำเป็นต้องใช้ยานี้ โดยเฉพาะอาร์เจนตินา บราซิล เม็กซิโก และเปรู ซึ่งเป็นประเทศที่กิลิแอดใช้อาสาสมัครในการวิจัยและทดลองยาดังกล่าว และนำผลการวิจัยไปขึ้นทะเบียนยากับ อย. สหรัฐฯ จนสำเร็จนั้น กลับไม่ได้อยู่ในรายชื่อประเทศที่มีสิทธิเหมือนกับไทย กิลิแอดจึงต้องเพิ่มประเทศกำลังพัฒนาเข้าไปในสัญญาอย่างเท่าเทียม พร้อมกำชับให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับมาตรการต่างๆ ที่จะช่วยปลดล็อคการผูกขาดยาด้วยระบบสิทธิบัตร ไม่ว่าจะเป็นการคัดค้านคำขอรับสิทธิบัตร หรือมาตรการซีแอล เพื่อช่วยให้ประชาชนเข้าถึงยาจำเป็นได้อย่างทั่วถึง  “สำหรับเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ ได้ยื่นคำคัดค้านคำขอรับสิทธิบัตรของยาลีนาพาคาเวียร์ที่บริษัทกิลิแอดมายื่นขอจดสิทธิบัตรไว้ในไทยเรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุผลว่ายาดังกล่าวขาดคุณสมบัติตามกฎหมายสิทธิบัตรของไทย หากกรมทรัพย์สินทางปัญญา ‘ปฏิเสธ’ คำขอจดสิทธิบัตรยาในไทย จะทำให้บริษัทยาในประเทศสามารถผลิตยาลีนาคาพาเวียร์ได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการแข่งขันในการผลิตและจะทำให้ยามีราคาถูกลง” เฉลิมศักดิ์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในตอนท้าย