เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย (เครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ) เข้าร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็นโดยทั่วไปจากผู้ให้บริการและผู้รับบริการระดับประเทศ ประจำปี 2568 ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดรับฟังความเห็นเป็นประจำทุกปีตามที่ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ มาตราที่ 18 (13) กำหนด เพื่อเป็นการเปิดพื้นที่ให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ร่วมกันแสดงความเห็น ทั้งการพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ที่เป็นจำเป็นกับผู้รับบริการและการพัฒนาและปรับปรุงระบบการบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพ เพื่อเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงคุณภาพและมาตรฐานด้านบริการสาธารณสุข

นายอภิวัฒน์ กวางแก้ว รองประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ

นายอภิวัฒน์ กวางแก้ว รองประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ ให้ความเห็นในที่ประชุมว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะมีระบบสุขภาพเดียวกันและมาตรฐานเดียวกัน แต่ด้วยศักยภาพของ สปสช. เพียงหน่วยงานเดียวอาจทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงอยากเห็นความจริงจังในการเชิญคนที่เกี่ยวข้องในระบบประกันสังคมมาตั้งวงคุยกัน ซึ่งทำได้ภายใต้มาตรา 10 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ (การขยายบริการสาธารณสุขไปยังผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม และบริหารจัดการระบบกองทุนสุขภาพให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ประเด็นถัดมาเรื่องความเพียงพอของงบประมาณของบัตรทองที่เป็นปัญหาเรื้อรังมายาวนาน จึงอยากให้ทั้งภาคประชาชนและผู้ให้บริการต้องไม่ปล่อยให้ สปสช. ต่อสู้เรื่องงบขาขึ้นเพียงลำพัง ต้องช่วยกันสะท้อนต้นทุนการให้บริการให้คนที่ทำหน้าที่อนุมัติงบประมาณได้เห็นข้อมูลเชิงประจักษ์ เพื่อให้งบได้รับการตอบสนองอย่างเต็มที่

ส่วนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วย พบว่าหน่วยปฐมภูมิแม้จะเป็นที่พึ่งใกล้ตัวใกล้ใจของประชาชน แต่ในหัวเมืองใหญ่ๆ อย่าง กทม. มีปัญหาเรื่องใบส่งตัวอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องเทียวไปเทียวมาในการขอรับใบส่งตัว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านโยบายเรื่อง “ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว” ยังไม่เป็นจริง ทำให้ผู้ป่วยเข้าไม่ถึงการรักษาได้ตามมาตรฐาน

ในประเด็นสุดท้าย หน่วยบริการต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติกับผู้ป่วย ด้วยการใช้อคติมากำหนดแนวทางในการจัดบริการ เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวีต้องไม่ถูกให้อยู่ในลำดับคิวสุดท้ายของการรับบริการทำฟัน หรือต้องไม่ถูกเลือกปฏิบัติจากการฟอกไตด้วยเครื่องไตเทียม ต้องช่วยกันกำหนดมาตรฐานของหน่วยบริการให้มีความชัดเจนในเรื่องนี้ด้วย

ทั้งนี้ เครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ ได้ยื่นข้อเสนอด้านชุดสิทธิประโยชน์และระบบบริการ ปี 2568 ของเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย  ผ่านไปยัง ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. เพื่อนำไปพิจารณาตามกระบวนการต่อไป

ข้อเสนอด้านชุดสิทธิประโยชน์และระบบบริการ ปี 2568 ของเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย เสนอต่อสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
ข้อเสนอด้านการเพิ่มชุดสิทธิประโยชน์
1. การเข้าถึงการรักษาไวรัสตับอักเสบซี ให้มีการปรับสิทธิประโยชน์ ดังนี้
1.1. ขยายข้อบ่งชี้การรักษาไม่จำกัดอายุ เพื่อให้ประชาชนทุกวัยได้เข้าถึงการรักษา เนื่องจากเกณฑ์ปัจจุบันกำหนดไว้ที่อายุ 18 ปีขึ้นไป เป็นการจำกัดสิทธิการเข้าถึงการรักษาของเด็กและเยาวชน
1.2. ขยายสิทธิการรักษาได้มากกว่า 1 ครั้ง ปัจจุบันจำกัดการรักษาได้เพียง 1 ครั้งตลอดชีวิต
1.3. จัดหายารักษาเพิ่มเติม เพื่อเป็นทางเลือกการรักษาสำหรับคนที่ดื้อยา หรือคนที่ใช้ยาที่มีในสิทธิประโยชน์ คือ Sofosbuvir/Velpatasvir (โซฟอสบูเวียร์/เวลพาทาสเวียร์) ไม่ได้

2. การรักษาไวรัสตับอักเสบบี ปัจจุบันการตรวจคัดกรอง หน่วยบริการสามารถเบิกชดเชยจาก สปสช.ได้ แต่เมื่อพบว่าติดเชื้อฯ การตรวจวินิจฉัยเพื่อการรักษาและยารักษาไวรัสตับอักเสบบี อยู่ในงบเหมาจ่ายรายหัวของโรงพยาบาล ทำให้เป็นข้อจำกัดในการเข้าถึงการรักษาของประชาชน เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการรักษาของประชาชนให้ทั่วถึงและให้หน่วยบริการมีความคล่องตัว ขอให้ สปสช. ดำเนินการดังนี้
2.1 สนับสนุนยารักษาไวรัสตับอักเสบบี คือ ยา TAF, TDF และ Entecavir (ทาฟ ทีดีเอฟ และเอนเทคคาเวียร์) โดยจัดซื้อรวมจากกองทุนระดับประเทศ เช่นเดียวกับการรักษาไวรัสตับอักเสบซี
2.2 สนับสนุนการตรวจปริมาณไวรัสตับอักเสบบี (HBV Viral load หรือไวรัลโหลด) ให้หน่วยบริการเบิกชดเชยจาก สปสช.ได้

3. การป้องกันไวรัสตับอักเสบบี และขยายสิทธิประโยชน์วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ให้ครอบคลุมประชาชนผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน และตรวจพบว่าไม่ติดเชื้อและไม่มีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบี

4. ขยายสิทธิประโยชน์การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก สำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้เป็นโรค SLE และสตรีที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ โดยให้สิทธิประโยชน์ตรวจคัดกรอง HPV DNA เริ่มที่อายุ 25 ปี และเพิ่มความถี่การตรวจทุก 3 ปี เพื่อส่งเสริมให้ผู้หญิงได้รับการตรวจคัดกรองตามมาตรฐาน

ข้อเสนอพัฒนาระบบบริการ
1. พัฒนาระบบบริการเอชไอวี
1.1. สปสช. รับผิดชอบเป็นหน่วยบริหารจัดการเรื่องเอชไอวีให้กับทุกกองทุนสุขภาพ โดยขยายขอบเขตนโยบาย “บัตรประชาชนใบเดียว รักษาได้ทุกที่” ให้ครอบคลุมประชาชนทุกสิทธิ เพิ่มเป็น “ยาต้านไวรัสเอชไอวี รักษาได้ทุกที่และทุกสิทธิ” เพื่อให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีทุกสิทธิเข้ารับการดูแลรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี และการรักษาอื่นๆ ได้ที่หน่วยบริการทุกแห่ง
1.2. ขอให้ สปสช. ดำเนินการเชิงรุกประสานงานทำความเข้าใจกับหน่วยงานรับผิดชอบ สวัสดิการพนักงานรัฐวิสาหกิจ เพื่อเชิญชวนเข้ามาอยู่ในระบบ เนื่องจากพนักงานที่เป็นผู้ติดเชื้อฯ ต้องจ่ายเงินค่ารักษาก่อนและเบิกคืนจากหน่วยงานต้นสังกัดภายหลัง ทำให้เป็นอุปสรรคในการรับการรักษากรณีที่ไม่พร้อมเปิดเผยสถานะการมีเอชไอวีของตนร่วมกัน จะทำให้ผู้ติดเชื้อฯ ได้รับการดูแลรักษาที่ต่อเนื่อง
1.3. เพิ่มหน่วยบริการยาต้านไวรัสเอชไอวี โดยสนับสนุนให้หน่วยบริการทุกระดับ เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ร้านยาคุณภาพ ตลอดจนหน่วยบริการภาคประชาสังคม สามารถให้บริการป้องกันและการดูแลรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวีได้ โดยมีกระบวนการติดตามกำกับให้มีคุณภาพและมาตรฐาน

2. พัฒนาหน่วยบริการให้จัดบริการได้ตามสิทธิประโยชน์ โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติในทุกรูปแบบ ให้ สปสช. ประสานงานกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข สมาคมโรคเอดส์ ภาคประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการต่อไปนี้
2.1. กำหนดแผนสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและมีความต่อเนื่องไปยังผู้ให้บริการ หน่วยบริการ ทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคมให้มีความเข้าใจ เท่าทันองค์ความรู้ด้านการดูแลรักษา เพื่อให้จัดบริการได้ตามมาตรฐานเป็นไปตามแนวทางการรักษาของประเทศ และสอดคล้องกับสิทธิประโยชน์ เช่น การปรับเปลี่ยนสูตรยาต้านไวรัสฯ การตรวจวินิจฉัยและคัดกรองโรค ฯลฯ
2.2. กำหนดเป้าหมายและแผนดำเนินการร่วมกันเพื่อยุติจากการตีตราเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบในหน่วยบริการทุกแห่ง อันเนื่องมาจากเอชไอวีและเพศสภาวะ

3. บูรณาการสิทธิประโยชน์ของทุกกองทุน ให้ประชาชนไม่ว่าจะมีสิทธิการรักษาใด ได้รับบริการที่ทั่วถึง เท่าเทียมกัน เพื่อความเป็นธรรมด้านสุขภาพ
3.1. ขอให้ สปสช. ประสานงานกับสำนักงานประกันสังคมขยายบริการตามสิทธิประโยชน์ ครอบคลุมผู้ประกันตนให้รับบริการ “เจ็บป่วยเล็กน้อย 32 อาการ ปรึกษาและรับยาได้ที่ร้านยาคุณภาพ” เพื่อให้ผู้ประกันตนเข้าถึงบริการที่เท่าเทียมกับประชาชนในสิทธิบัตรทอง
3.2. หาแนวทางร่วมกับสำนักงานประกันสังคม เพื่อดำเนินการตามมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ ในการขยายบริการขอบเขตบัตรทองให้ครอบคลุมผู้ประกันตน ทั้งนี้เป้าหมายระยะยาวในด้านระบบสาธารณสุขของไทย ประชาชนต้องได้รับบริการที่เท่าเทียมกันทุกกองทุน ไม่ว่าจะเป็นระบบสวัสดิการประกันสังคม หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สวัสดิการข้าราชการ กองทุนประกันสุขภาพผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิ หรือกองทุนอื่นๆ
ข้อเสนอพัฒนาระบบบริการเฉพาะในกรุงเทพมหานคร
1. ขอให้ สปสช. กทม. มีแผนงานเชิงรุก เพื่อสนับสนุนและขยายหน่วยนวัตกรรมใน กทม.ให้เพิ่มมากขึ้น เช่น เพิ่มร้านยาคุณภาพที่ให้บริการ เจ็บป่วย 32 อาการรับยาที่ร้านยาได้ รวมทั้งขอให้ สปสช. พิจารณาขยายขอบเขตให้มีการรับยาต่อเนื่องของผู้ป่วย NDCs ได้ที่ร้านยาคุณภาพ โดยพัฒนาระบบส่งต่อกับโรงพยาบาล หรือหน่วยบริการหลักในพื้นที่

2. ค้นหาและพัฒนารูปแบบบริการของภาคประชาชน หรือหน่วยบริการตามมาตรา 3 เพื่อเติมเต็มช่องว่างการเข้าถึงบริการใน กทม. เช่น พัฒนา Model บริการผู้ป่วย NCDs หรือผู้ป่วยโรคเรื้อรังอื่นๆ ที่ต้องรับยาต่อเนื่อง บริการสำหรับผู้มีปัญหาการเข้าถึงเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มคนไร้บ้าน เป็นต้น

3. ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนและหน่วยบริการใน กทม. มีความเข้าใจเรื่องการใช้บริการบัตรประชาชนใบเดียว รักษาได้ทุกที่ เพื่อลดปัญหา และประชาชนได้รับบริการที่เหมาะสม

4. สปสช.ประสานงานกับหน่วยงานในกทม. เช่น สำนักการแพทย์ สำนักอนามัย ผู้ว่า กทม. เป็นต้น เพื่อดำเนินการยกระดับศูนย์สาธารณสุข กทม. ให้เป็นโรงพยาบาลชุมชน เพื่อขยายศักยภาพการบริการให้กับประชาชนได้ครอบคลุมมากขึ้น

……
อ้างอิงภาพประกอบและข้อมูล: เพจ “สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” https://www.facebook.com/NHSO.Thailand