จากกรณีที่มีดราม่าตรวจเจอซิฟิลิส และบางรายมีเอชไอวีในกลุ่มนักศึกษา จนเป็นกระแสที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับคนในโลกออนไลน์อยู่ไม่น้อย ทำให้ ‘เอชไอวี’ ถูกกลับมาพูดถึงอีกระลอก นางยุพา สุขเรือง ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย (เครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ) กล่าวว่า ทันทีที่ได้เจอข่าวนี้บนหน้าสื่อต่างๆ สิ่งแรกที่เลือกทำ คือ ‘ส่องคอมเมนต์’ ว่าความเห็นของคนในโลกออนไลน์คิดเห็นอย่างไรกับดราม่าในรอบนี้บ้าง

ยุพาค้นพบว่าคอมเมนต์ส่วนใหญ่ ‘ยังคงเข้าใจในแบบเดิมเหมือนเมื่อก่อน’ ที่มองเอชไอวีเป็นเรื่องของคนที่มีคู่นอนหลายๆ คน หรือที่บางคอมเมนต์เรียกว่า ‘สำส่อน’ หรือเกิดแค่กับกลุ่มเสี่ยงบางกลุ่มเท่านั้นที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ พอมีข่าวดราม่าตรวจพบซิฟิลิส รวมถึงเอชไอวีในกลุ่มนักศึกษาที่มีคนเกี่ยวข้องอยู่เป็นจำนวนมาก จึงกลายเป็นสิ่งที่สร้างความฮือฮา เพราะเป็นกลุ่มที่อนุมานได้ว่าน่าจะมีความรู้ระดับหนึ่ง

ยุพากล่าวว่า ถ้ามองในมุมบวกของดราม่าครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่มีกระแสให้เอชไอวีได้กลับมาถูกพูดถึงอีกครั้ง จึงอยากสื่อสารให้สังคมได้เข้าใจว่าจริงๆ แล้วการมีเพศสัมพันธ์เป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน มันคือความปกติ เอชไอวีจึงถือเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิต ไม่ว่าจะเพศไหน อายุเท่าไหร่ มีการศึกษาระดับไหน ถ้ามีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการรับเชื้อเอชไอวีเหมือนกันหมด

หลายคนอาจรู้สึกว่าเอชไอวีไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเอง ไกลตัว เพราะคบแฟนทีละคน มีเพศสัมพันธ์กับคน ๆ เดียว ณ ช่วงเวลาที่คบกันอยู่ จึงไม่ใช้ถุงยางอนามัย แต่ถ้าวันหนึ่งมีเหตุให้ต้องเลิกรากัน ไปเจอคนใหม่ โอกาสมีเพศสัมพันธ์ย่อมเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ ตามจำนวนคนที่ตัดสินใจจะคบกันในแต่ละช่วงชีวิต ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องของความสำส่อน แต่เป็นวิถีปกติของคนที่มีรัก มีเลิกกัน

ที่ผ่านมาเราจึงพยายามรณรงค์ให้มีการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งกับทุกคน ไม่ว่าจะคบคนเดียว หรือคบใครๆ หลายๆ คนในเวลาเดียวกัน ก็ต้องเป็นเรื่องที่เราต้องจัดการตัวเอง แต่ถ้าเสี่ยงไปแล้ว ยุพามองว่า อย่าตื่นตระหนก ในความเสี่ยงแต่ละครั้งที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้หมายความเราจะติดเอชไอวีทันที แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นวิธีการเดียวที่จะรู้ว่าตัวเองมีเชื้อหรือไม่โดยไม่ต้องรอให้มีอาการ คือ ‘การตรวจหาเชื้อเอชไอวี’ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะทำให้เราได้วางแผนชีวิตของตัวเองหลังจากวันที่รับรู้ผล

ถ้ามี ‘ผลเลือดเป็นบวก’ เราจะเข้าสู่ระบบการรักษา รับยาต้านไวรัสฯ ดูแลสุขภาพตัวเองเหมือนปกติ กลับไปใช้ชีวิต กลับไปเรียน กลับไปทำงานเหมือนเดิม และยิ่งถ้าได้กินยาต้านไวรัสฯ อย่างต่อเนื่อง จนไม่มีการตรวจพบเชื้อในกระแสเลือด ก็จะไม่มีการส่งต่อเชื้อฯ ให้กับคู่ได้ หรือที่รู้จักว่า ‘ยูเท่ากับยู’ (Undetectable = Untransmittable: U=U)

ส่วนคนที่มี ‘ผลเลือดเป็นลบ’ ก็จะได้มีทางเลือกในการวางแผนป้องกัน ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใช้ ‘ถุงยางอนามัย’ หรือใช้ ‘ยาเพร็พ’ เพื่อรักษาสถานะของผลเลือดให้เป็นลบให้ยาวนานที่สุด

“ส่วนชาวเน็ตรวมถึงเราทุกคนก็ไม่ควรเหมารวมว่า ‘เอชไอวีเป็นเรื่องของคนไม่ดี’ เพราะจะทำให้คนที่มีความเสี่ยง หรือแม้แต่คนที่มีเอชไอวีเองไม่กล้าออกมารับบริการ ไม่กล้าออกมาใช้ชีวิต และโทษตัวเองถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา จึงควรหยุดส่งต่อทัศนคติที่สร้างความเกลียดชัง เพราะผู้ติดเชื้อฯ ที่ไม่ได้มีพฤติกรรมแบบที่ถูกเหมารวมจะรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อยกับการถูกตีตรา” ยุพาย้ำในตอนท้าย