ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 40 กว่าปีก่อน เราอาจเคยได้ยินว่า “หากติดเชื้อเอชไอวีมา คงไม่สามารถทำอะไรนอกจากรอวันป่วยและตาย” ซึ่งเป็นคำพูดที่ทำให้ผู้ที่ติดเชื้อฯ รู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง แต่หากเราศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเอชไอวี/เอดส์ อย่างรอบด้านจะทำให้เราได้เรียนรู้ว่า ‘เอดส์’ เป็นเพียงความเจ็บป่วยที่รักษาได้ ตามคำนิยามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) เคยให้ไว้ว่า “เอดส์คือโรคเรื้อรัง” ซึ่งสามารถดูแล รักษา รวมถึงป้องกันไม่ให้ป่วยได้
เมื่อติดเชื้อเอชไอวี ร่างกายจะเป็นอย่างไร?
เมื่อร่างกายเราได้รับ ‘เชื้อเอชไอวี’ จะมีสุขภาพไม่ต่างจากเดิมเลย เพราะเชื้อเอชไอวี จะไม่ทำให้เราป่วยทันที ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเรายังมีภูมิคุ้มกันที่สามารถควบคุมหรือจัดการกับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายได้ อาการเจ็บป่วยจากโรคฉวยโอกาสจึงไม่ปรากฏ เรียกว่าเป็น ‘ผู้ติดเชื้อเอชไอวี’

พอภูมิคุ้มกันถูกทำลายไปเรื่อยๆ จนไม่สามารถควบคุมหรือจัดการกับเชื้อโรคบางอย่างได้จะทำให้เราป่วยซึ่งอัตราเฉลี่ยของคนไทยที่เริ่มป่วยใช้เวลา 7 – 10 ปี ตั้งแต่วันที่รับเชื้อฯ ทำให้ร่างกายเริ่มมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องเป็น ‘ผู้ป่วยเอดส์’

โรคที่เราป่วยเนื่องจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องเรียกว่า ‘โรคติดเชื้อฉวยโอกาส’ ในทางการแพทย์จะใช้การตรวจซีดี 4 (ระดับภูมิคุ้มกัน) ถ้าต่ำกว่า 200 หรือเมื่อเริ่มมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่างๆ เช่น เชื้อราในปาก เริมที่อวัยวะเพศ (เป็นบ่อยหรือรุนแรง) วัณโรค งูสวัดที่รุนแรงหรือเป็นซ้ำใน 1 ปี เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ปอดอักเสบ เป็นต้น จะถือว่าอยู่ใน ‘ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง’ แต่โรคติดเชื้อฉวยโอกาสทุกโรครักษาได้ หลายโรคป้องกันได้

สำหรับปัจจัยที่ทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ป่วยเร็ว ป่วยช้า หรือไม่ป่วยเลยนั้น ขึ้นอยู่กับการเข้าถึงยาต้านไวรัสเอชไอวีที่เร็วและได้มาตรฐาน เพื่อให้ยาต้านไวรัสฯ ทำหน้าที่ลดจำนวนเอชไอวีในเลือดให้ต่ำที่สุด (น้อยกว่า 50 copies/cc) และนานที่สุด เมื่อผู้ติดเชื้อฯ ได้รับยาอย่างต่อเนื่องจนเชื้อเอชไอวีในร่างกายลดลง โอกาสที่จะป่วยด้วยโรคฉวยโอกาสจึงแทบจะไม่มีเลย ที่สำคัญยังทำให้ผู้ติดเชื้อฯ มีสุขภาพดี สามารถเรียนได้ ทำงานได้ มีลูก มีคู่ มีครอบครัวได้ และมีชีวิตยืนยาวจนเข้าสู่ช่วงสูงวัยได้ไม่ต่างจากคนที่ไม่มีเชื้อเอชไอวี
ทั้งนี้มาตรฐานและชุดสิทธิประโยชน์ด้านเอชไอวีในปัจจุบัน (ณ ปี 2568) กำหนดให้การจ่ายยาต้านไวรัสฯ สามารถเริ่มได้ทันทีที่ตรวจพบการติดเชื้อ (Same day ART) ในทุกระดับซีดี 4 เพราะการเริ่มยาต้านไวรัสฯ ได้เร็ว นอกจากจะเป็นการป้องกันการป่วยด้วยโรคฉวยโอกาสแล้ว ยังลดการส่งต่อเชื้อเอชไอวีให้กับผู้อื่น (ตามหลักการ U=U) และยังช่วยลดโอกาสการเป็นโรคเรื้อรังที่เกี่ยวกับการเสื่อมของหลอดเลือดแดง เช่น ไขมัน ความดัน เบาหวาน ไตเสื่อม เป็นต้น
อย่างไรก็ดี การทานยาต้านไวรัสฯ อย่างต่อเนื่องและตรงเวลายังเป็นปัจจัยสำคัญในรักษาที่มีประสิทธิภาพ เพราะนอกจากช่วยควบคุมปริมาณเชื้อไวีัสฯ ในเลือดให้ต่ำที่สุดแล้ว ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงต่อการดื้อยา หรือการรักษาล้มเหลวอีกด้วย
การดูแลและส่งเสริมให้การรักษาด้วยยาต้านไวรัสฯ ได้ผลดี และส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดี
ในกรณีที่ผู้ติดเชื้อฯ รายใดเริ่มยาต้านไวรัสฯ ช้า เชื้อเอชไอวีจะทำให้หลอดเลือดแดงเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ ทำให้มีโอกาสเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือดแดงเสื่อม เราจึงพบผู้ติดเชื้อฯ ที่เป็นโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง และไตเสื่อมเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
การเลือกใช้สูตรยาต้านไวรัสฯ ที่มีผลข้างเคียงต่ำ การเริ่มรักษาด้วยยาต้านไวรัสฯ เร็ว ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การออกกำลังกายจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูงได้ ดังนั้น การทำความเข้าใจในเรื่องนี้รวมถึงการรณรงค์ส่งเสริมให้ผู้ติดเชื้อฯ สามารถจัดการ หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต การกิน การออกกำลังกาย การดูแลรักษาสุขภาพจึงมีความสำคัญอย่างมาก