เมื่อวันที่ 24 กันยายน ที่ผ่านมา มูลนิธิเข้าถึงเอดส์และเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย ยื่นคัดค้านคำขอรับสิทธิบัตรยาต้านไวรัสเอชไอวี สูตรดื้อยา “ยาราลเท็คกราเวียร์” ต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้รับการรักษาด้วยยาสูตรนี้ได้เร็วขึ้น
นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านเอชไอวีสูตรพื้นฐานในปัจจุบัน จะมีโอกาสดื้อต่อการรักษาร้อยละ 10 และจำเป็นต้องเปลี่ยนไปใช้สูตรยาต้านเอชไอวีในสูตรสำรองที่ 2 และ 3 ซึ่งยาราลเท็คกราเวียร์เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ประเทศจำเป็นต้องเตรียมไว้
ผู้อำนวยการฯ กล่าวต่อไปว่า แม้ว่าในชุดสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพในระบบหลักประกันสุขภาพจะครอบคลุมยาต้านไวรัสหลายชนิดแล้วก็ตาม แต่ยังมียาต้านไวรัสเอชไอวีชนิดอื่นๆ โดยเฉพาะในสูตรดื้อยา ที่ยังไม่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติและสิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพ
“ยาราลเท็คกราเวียร์ที่มีขายอยู่ในประเทศไทยมีเพียงยี่ห้อเดียว และขายในราคา 13,620 บาทต่อขวดสำหรับ 1 เดือน หากผู้ติดเชื้อเอชไอวีจำเป็นต้องใช้ยาชนิดนี้ต้องควักเงินจ่ายเอง” นายนิมิตร์ กล่าวและว่า สาเหตุหนึ่งที่ผู้ติดเชื้อฯ ยังไม่ได้รับการรักษาด้วยยาราลเท็คกราเวียร์ เพราะมีสิทธิบัตรผูกขาดตลาด จึงทำให้ยามีราคาแพงและไม่ได้รับการพิจารณาให้อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ และระบบหลักประกันสุขภาพ
“สิทธิบัตรยาตัวนี้จะหมดในปี 2568 แต่เราพบว่า บริษัทยากำลังพยายามยืดอายุการผูกขาดให้ยาวนานออกไปอีกมากกว่า 5 ปี” ผู้อำนวยการฯ กล่าวและว่า จากการติดตามการจดสิทธิบัตรยาโดยมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ บริษัทยาข้ามชาติได้มายื่นขอจดสิทธิบัตรยาราลเท็คกราเวียร์แล้ว 5 ฉบับ และทั้งหมดยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาโดยสำนักสิทธิบัตร กรมทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งคำขอรับสิทธิบัตรที่ยื่นคัดค้านนี้ ถือว่าเป็นคำขอแบบสิทธิบัตรไม่มีวันตายและไม่สมควรได้รับสิทธิบัตร เพราะขัดต่อ พรบ. สิทธิบัตร หากได้รับสิทธิบัตรจะยืดอายุการผูกขาดออกไปเกินกว่าปี 2573
นายนิมิตร์ ยังกล่าวอีกว่า ใน พรบ. สิทธิบัตร พ.ศ. 2535 มาตรา 9 (4) การประดิษฐ์ในเรื่องวิธีการบำบัดหรือการรักษาโรคในคนและสัตว์จะมาขอจดสิทธิบัตรไม่ได้ แต่บริษัทมายื่นขอจดว่ายานี้ใช้รักษาเอชไอวีในมนุษย์ และในมาตรา 5 (1) และ (2) และ มาตรา 6 (5) และมาตรา 7 คำขอนี้ไม่เข้าข่ายขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น เพราะการประดิษฐ์นั้นได้จดสิทธิบัตรไว้ในต่างประเทศนานแล้ว และเป็นวิชาที่สอนให้กับนักศึกษาปริญญาตรีคณะเภสัชศาสตร์ทั่วไป
ด้านนายเฉลิมศักดิ์ กิตติตระกูล เจ้าหน้าที่ประสานงานรณรงค์การเข้าถึงยา มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวเสริมว่า บริษัทยามักใช้กลวิธีที่ยื่นจดสิทธิบัตรหลายๆ ฉบับกับยาเพียงชนิดเดียวในช่วงเวลาที่เหลื่อมกัน เพื่อทำให้สิทธิบัตรยาชนิดนั้นมีอายุการผูกขาดตลาดได้นานที่สุด ในบางกรณี ยาตัวเดียวมีอายุสิทธิบัตรรวมแล้วถึง 40 ปี
เจ้าหน้าที่ประสานงานรณรงค์ กล่าวต่อไปว่า การยื่นคัดค้านคำขอรับสิทธิบัตรยาเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แม้จะเป็นกลไกทางกฎหมาย เพราะระยะเวลาการยื่นคำคัดค้านใน พรบ. สิทธิบัตร กำหนดไว้เพียง 90 วันนับจากวันที่ประกาศโฆษณา และการที่จะรู้ว่าคำขอใดประกาศโฆษณาแล้วก็เป็นเรื่องยากอีกเช่นกัน เพราะกรมทรัพย์สินทางปัญญาไม่ได้ประกาศให้คนทั่วไปรับทราบได้อย่างทั่วถึง และง่ายต่อการใช้งาน แต่ต้องไปคอยติดตามอย่างต่อเนื่องและจ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อรับแผ่นซีดีที่มีข้อมูลคำประกาศโฆษณาคำขอรับสิทธิบัตรเป็นระยะๆ
“กรมฯ ยังขาดระบบการเปิดเผยข้อมูลว่าการพิจารณาคำขอเหล่านั้นดำเนินการไปถึงขั้นตอนไหนแล้ว ซึ่งเป็นอุปสรรคที่ทำให้ผู้มีส่วนได้เสียจะตรวจสอบและติดตามไม่ได้ ตัวอย่างกรณีคำขอที่พ้นระยะเวลายื่นตรวจสอบขั้นตอนการประดิษฐ์ 5 ปีหลังจากวันที่ประกาศโฆษณา กรมฯ ก็ไม่แจ้งให้สาธารณะได้รับรู้หรือติดตามได้” นายเฉลิมศักดิ์ กล่าว
นายเฉลิมศักดิ์ ให้ความเห็นว่า การยื่นคัดค้านคำขอประเภทที่เป็นสิทธิบัตรแบบไม่มีวันหมดอายุ หรือever-greening และที่ไม่เข้าเกณฑ์ได้รับการสิทธิบัตรได้ จะช่วยลดการผูกขาดตลาดที่ไม่ชอบธรรม และทำให้มียาชื่อสามัญเข้ามาแข่งขันและทำให้ราคายาลดลง ซึ่งสุดท้ายแล้วจะทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพได้เร็วขึ้นและมากขึ้น
ทั้งนี้ กระบวนการหลังจากกรมฯ รับหนังสือคัดค้านแล้ว ผู้ยื่นคัดค้านสามารถส่งหลักฐานเพิ่มเติมได้ภายใน 30 วัน หลังจากนั้นกรมฯ จะส่งสำนวนคัดค้านให้ผู้ขอรับสิทธิบัตรโต้แย้งภายใน 90 วัน โดยผู้ขอรับสิทธิบัตรสามารถส่งหลักฐานเพิ่มเติมได้อีกภายใน 30 วัน โดยกรมฯ จะส่งคำโต้แย้งให้ผู้คัดค้านทราบ ในขณะเดียวกันกลุ่มงานคัดค้านวินิจฉัยจะดำเนินการวินิจฉัยและแจ้งคำวินิจฉัยไปยังผู้คัดค้านและผู้ขอรับสิทธิบัตร หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยสามารถอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการสิทธิบัตรได้ภายใน 60 วัน