เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 68 สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) และกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศร่วมกับผู้แทนการค้าไทย จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการเจรจาความตกลงการค้าเสรีเอฟทีเอไทย – สหภาพยุโรป (อียู)

นายเฉลิมศักดิ์ กิตติตระกูล ผู้จัดการโครงการส่งเสริมการเข้าถึงยา เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย

นายเฉลิมศักดิ์ กิตติตระกูล ผู้จัดการโครงการส่งเสริมการเข้าถึงยา เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย (เครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ) ร่วมในเวทีเสวนา “การค้าอย่างเป็นธรรม สู่อนาคตที่ยั่งยืน: ข้อเสนอแนะจากเกษตรกร SMEs และภาคประชาสังคม” เพื่อสะท้อนมุมมองของภาคประชาสังคมที่มีความห่วงกังวลต่อการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู ที่กำลังเจรจาในขณะนี้

นายเฉลิมศักดิ์ กล่าวว่า เรามีความกังวลเกี่ยวกับการเจรจาเอฟทีเอไทยอียู (สหภาพยุโรป) ใน 3 ประเด็น ประเด็นแรกเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกในองค์การการค้าโลก หรือ WTO เรามีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญาที่ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงขององค์การการค้าโลก หรือที่เรียกว่า ‘ข้อตกลงทริปส์’ อยู่แล้ว และประเทศไทยมีกฎหมายสอดคล้องตามความตกลงทริปส์ทุกอย่าง

เช่น การให้สิทธิผูกขาดในทุกอุตสาหกรรมที่กำหนดระยะเวลาไว้ที่ 20 ปี คนอื่นไม่สามารถผลิตเพื่อการแข่งขันได้ ทำให้คนที่ถือสิทธิผูกขาดสามารถตั้งราคาได้ตามต้องการ แต่เมื่อพ้น 20 ปีไปแล้ว คนอื่นก็สามารถผลิต คิดค้น และขายแข่งขันได้ แต่สภาพยุโรปทั้งที่เป็นสมาชิกอยู่ในองค์การการค้าโลกด้วยเหมือนกัน กลับต้องการมากไปกว่านั้น เขาต้องการกำหนดเงื่อนไขในการขยายระยะเวลาในการผูกขาดให้มากกว่า 20 ปีเป็น 25 ปี นั่นหมายความว่าโอกาสที่เราจะเข้าถึงยาที่มีคุณภาพเดียวกันแต่ราคาถูกกว่าต้องยืดระยะเวลาออกไปอีก ส่งผลให้คนที่จำเป็นต้องใช้ยา ไม่ว่าจะเป็นระบบบัตรทอง ประกันสังคม หรือสวัสดิการข้าราชการ ได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด

อีกทั้งอียูยังขอนำเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาไปผูกกับการขึ้นทะเบียนยาด้วย ซึ่งโดยปกติแล้วหน้าที่ของ อย. จะดูเฉพาะเรื่องความปลอดภัย และความมีประสิทธิภาพในการรักษาของยาตัวนั้น ถ้าได้สรรพคุณตรงตามที่ขอก็สามารถเตรียมรอขายได้ (หากมียาที่ติดสิทธิบัตรขายอยู่ยังออกขายไม่ได้ ต้องรอให้ยาหมดสิทธิบัตรดั้งเดิมหมดสิทธิบัตรก่อน) แต่สิ่งที่อียูต้องการ คือ ถ้ายาตัวนั้นติดสิทธิบัตรอยู่ อย.จะไม่สามารถทำกระบวนการพิจารณาให้ทะเบียนยากับยาที่จะมาขายแข่งได้ ต้องรอให้ยาเดิมหมดสิทธิบัตรไปแล้วเท่านั้น

เมื่อ 10 ปีก่อนที่ไทยมีการเจรจาเอฟทีเอกับอียูก่อนที่จะมีรัฐประหารแล้วหยุดไป เคยมีการทำวิจัยว่าถ้าไทยทำเอฟทีกับอียู จะทำให้รัฐบาลหรือประเทศไทยต้องมีค่าใช้จ่ายประเภทยาเพิ่มขึ้นอย่างน้อยปีละ 2 หมื่นล้านบาทและจะเพิ่มไปเรื่อยๆ ถึง 2 แสนล้านบาทต่อปี จึงมีความกังวลต่อระบบประกันสุขภาพของประเทศไทยที่เป็นเรื่องหน้าชูตาในเวทีสากลระดับโลก จะไปต่ออย่างไร

อีกบทที่ว่าด้วยทรัพย์สินปัญญา คือ UPOV 1991 หรืออนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ที่อียูบังคับให้ไทยเข้าร่วม มีนัยะสำคัญให้เกิดการผูกขาดเมล็ดพันธุ์ เกษตรกรไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์เพื่อจะปลูกต่อได้ รวมไปถึงผลผลิตจากเมล็ดพันธุ์ก็ไม่สามารถไปต่อยอดได้อีกด้วย ทำให้ต้นทุนการผลิตทางการเกษตรสูงขึ้น

เรื่องทรัพย์สินทางปัญญาที่กังวลอีกเรื่องหนึ่ง คือศุลกากร ประเทศไทยมีกฎหมายศุลกากรที่สอดคล้องกับข้อตกลงในองค์การการค้าโลกด้วยเช่นกันที่ให้สิทธิ์คุ้มครองเรื่องของลิขสิทธิ์ เครื่องหมายการค้าอยู่แล้ว และให้มีบทลงโทษในทางอาญาด้วย แต่สิ่งที่อียูเรียกร้องไปมากกว่านั้นจะให้อำนาจกับศุลกากรในการตรวจ จับ ยึด และทำลายสินค้าที่ต้องสงสัยว่าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในทุกประเภท แล้วเพิ่มโทษทางอาญาไปด้วย ซึ่งตรงนี้จะเป็นภัยต่ออุตสาหกรรมยาภายในประเทศ เพราะสุ่มเสี่ยงในการฟ้องร้องหรือถูกยึด และโดยอำนาจของศุลกากรก็ดูด้วยตาเปล่าไม่รู้หรอกว่ายาที่นำเข้าจะละเมิดสิทธิบัตรหรือไม่ ต้องยึดไว้และต่อสู้กันในศาลกว่า 3 – 7 ปี

ประเด็นที่ 2 ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ที่อียูเรียกร้องให้ประเทศไทยเปิดตลาดการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ในเรื่องของยากับเครื่องมือแพทย์ เราต้องแก้ไข พ.ร.บ. 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐฯ ที่มีความสำคัญตรงที่เป็นกฎหมายที่ให้สิทธิประโยชน์กับอุตสาหกรรมยาภายในประเทศ เมื่อโรงพยาบาลของรัฐต้องการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ต้องพิจารณาจากยาที่ผลิตภายในประเทศก่อน เพื่อความมั่นคงทางยาและอุตสาหกรรมยาในประเทศ ให้สามารถพัฒนาและเดินหน้าต่อไปได้ แต่อียูต้องการให้เรายกเลิก

อีกฉบับหนึ่งเป็น พ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมฯ เป็นนโยบายที่รัฐบาลสนับสนุนให้คนไทยคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ในทุกสาขา รวมถึงเรื่องยาและเครื่องมือแพทย์ด้วย ซึ่งตอนนี้ สปสช.เริ่มนำนโยบายนี้มาใช้ซื้อหรือว่าจะจ้างจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ หรือยาที่ผลิตโดยคนไทย คิดค้นโดยคนไทย เพื่อที่จะทำให้นวัตกรรมของประเทศไทยเจริญก้าวหน้าต่อไป แต่อียูต้องการห้าม เพราะจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับอุตสาหกรรมภายในประเทศมากเกินไป

ประเด็นสุดท้ายอยู่ในบทว่าด้วยการค้าสินค้า ดูไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องยา แต่พอดูในเนื้อหากลับพบว่ามีบทหนึ่งที่พูดถึงสินค้าที่ใช้แล้วแต่ปรับปรุงให้เสมือนใหม่ ครอบคลุมเครื่องมือแพทย์มือสอง หมายความว่าเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ในสหภาพยุโรป เมื่อหมดอายุการใช้งาน สามารถปรับปรุง และขายให้กับประเทศไทยได้ แต่เรามีความกังวลว่าเรามีกลไก ระบบ มีนโยบายที่จะตรวจสอบเรื่องความปลอดภัยประสิทธิภาพของเครื่องมือเหล่านี้อย่างไร เพราะว่าเราใช้เครื่องมือในการตรวจและวินิจฉัยโรค ถ้าไม่มีความเสถียรหรือไม่มีความแม่นยำ ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยจะรับผิดชอบอย่างไร

ยิ่งถ้าไปดูในนิยามของคำว่า ‘สินค้าที่ปรับปรุงให้เสมือนใหม่’ กินความตั้งแต่เตาปฏิกรณ์ปรมาณู เครื่องจักร เครื่องกล อุปกรณ์ไฟฟ้า ยานบก ยานน้ำ อากาศยาน แท่นขุดเจาะน้ำมัน ฯลฯ จึงมีคำถามว่าเรามีมาตรการที่จะดูแลเรื่องนี้อย่างไร อายุการใช้งานจะได้แค่ไหน ใช้หมดแล้วภาระใครในการกำจัดทิ้ง หรือประเทศไทยจะกลายเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปเลยหรือเปล่า

สิ่งที่อียูพยายามพูดมาตลอดมีทั้งเรื่อง Sustainable Development Goals (เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน) และเรื่องสิทธิมนุษยชน ภาคประชาสังคมจึงมีคำถามว่า ‘การเข้าถึงยา’ ‘สุขภาพของคน’ และ ‘ระบบสาธารณสุข’ นั้น เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชนหรือไม่ จากเหตุการณ์โควิด – 19 ที่พึ่งผ่านมา ก็เห็นแล้วว่าประชาชนในฝั่งยุโรปเข้าไม่ถึงยากันหลายล้านคน ทำไมอียูถึงยังยื่นข้อเรียกร้องในบางเรื่องที่สุดโต่งเกินไปแบบนี้

“ประเทศไทยต้องมีความเข้มแข็งในบางเรื่อง ที่ต่อรองไม่ได้ก็ต่อรองไม่ได้ ต้องมีจุดยืนในเรื่องที่ยอมไม่ได้ พร้อมอยากสนับสนุนว่าเราเป็นภาคีอยู่ในองค์การการค้าโลกอยู่แล้ว เราเคารพตามข้อตกลงทริปส์อยู่แล้ว ต้องไม่ยอมเปลี่ยนแปลงกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาให้เกินไปกว่าข้อตกลงทริปส์” เฉลิมศักดิ์ กล่าวฃ

ที่มา: Voice x Vision: Thai-EU FTA in Focus (Stakeholder Consultation Forum: Thai-EU FTA) เวทีรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วน เสียต่อการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย–สหภาพยุโรป https://www.facebook.com/itd.th/videos/4299077450320591