ตามที่การเจรจาเอฟทีเอระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป รอบที่ 2 จะมีขึ้นระหว่าง วันที่ 16 – 20 ก.ย.นี้ ณ โรงแรมเลอเมอริเดียน จ.เชียงใหม่ นั้น
นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ และตัวแทนกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) กล่าวว่าภาคประชาสังคมไทยจากหลายภาคส่วน ทั้งในส่วนของเครือข่ายเกษตรทางเลือก กลุ่มเกษตรอินทรีย์ เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ เครือข่ายงดเหล้า เครือข่ายผู้บริโภคและกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ซึ่งรวมตัวกันในนามกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA watch) จะนัดชุมนุมเพื่อแสดงพลังสนับสนุนให้ทีมเจรจาของรัฐบาลไทยตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน โดยขอให้เจรจาอย่างรอบคอบ และต้องไม่ตกลงในสิ่งที่จะมีผลกระทบต่อประชาชนวงกว้างทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
“การชุมนุมครั้งนี้จะมีภาคประชาสังคมไทยมาร่วมกว่า 2,000 คน แต่เป็นการมาชุมนุมอย่างสงบ โดยจะมีกิจกรรมรณรงค์เพื่อสร้างการเรียนรู้ในเรื่องการค้าเสรีและผลกระทบต่อประชาชน อาทิ การเรียนรู้เรื่องอิสรภาพทางพันธุกรรมผ่านการรวบรวมเมล็ดพันธุ์พื้นบ้านจากทั่วประเทศ กิจกรรมศิลปะรณรงค์เพื่ออธิปไตยทางพันธุกรรม รวมทั้งการเรียนรู้เรื่องระบบหลักประกันสุขภาพ ซึ่งถือได้ว่าเป็นนโยบายรัฐที่ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง แต่ถ้าหากเรายอมตามข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรปในเรื่องสิทธิบัตรยาก็จะกระทบต่อระบบสุขภาพของประเทศอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงอยากเชิญชวนให้คนเชียงใหม่ได้มาร่วมเรียนรู้ ทำความเข้าใจไปด้วยกันระหว่างวันที่ 18 – 19 กันยายนนี้ ณ บริเวณข่วงประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่”
ด้าน น.ส.กิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา รองผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี ระบุว่าข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรปที่มีต่อไทยมี 3 เรื่องหลักคือ ต้องเป็นภาคี UPOV 1991, ภาคีสนธิสัญญาบูดาเปส และยอมรับสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิตนั้นจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรและทรัพยากรชีวภาพของประเทศอย่างรุนแรงและกว้างขวาง เกษตรกรผู้ใช้เมล็ดพันธุ์ที่จะต้องจ่ายแพงขึ้น การเก็บรักษาพันธุ์เพื่อปลูกต่อหรือแลกเปลี่ยนจะมีความผิดถึงขั้นจำคุกและต้องจ่ายค่าเสียหายแก่บริษัท และวิสาหกิจชุมชนที่ปรับปรุงพันธุ์พืชจากพันธุ์พืชใหม่ ก็ไม่สามารถทำได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อระบบอาหารของประเทศอย่างกว้างขวาง ถือว่าเป็นการทำลายอธิปไตยทางอาหารของประเทศ
นางสาวสุภัทรา นาคะผิว ประธานคณะกรรมการองค์การพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ และผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ กล่าวว่าหากประเทศไทย ยอมเจรจาความตกลงการค้าเสรีในส่วนทรัพย์สินทางปัญญาที่เกินกว่าความตกลงทริปส์ จะก่อให้เกิดการผูกขาดตลาดอย่างยาวนาน ทำให้ราคายาแพงขึ้น และประเทศชาติต้องแบกรับค่าใช้จ่ายด้านยาเพิ่มขึ้นมหาศาล ส่งผลให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงยาได้ รวมทั้งส่งผลกระทบด้านลบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยาสามัญภายในประเทศ ที่สำคัญคือ ประโยชน์ส่วนใหญ่จะตกอยู่กับบรรษัทยาข้ามชาติเท่านั้น
“ถ้ายอมทริปส์พลัสด้านยา ยอมขยายการคุ้มครองสิทธิบัตรยาเพิ่มขึ้นอีก 5 ปี จะมีผลทำให้ค่าใช้จ่ายด้านยาเพิ่มขึ้นอีกเป็น 27,883 ล้านบาท/ปี และหากยอมปล่อยให้มีการผูกขาดข้อมูลการขึ้นทะเบียนตำรับยา จะมีผลทำให้ค่าใช้จ่ายด้านยาของไทย เพิ่มขึ้น 81,356 ล้านบาทต่อปี”
นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึงการชุมนุมของภาคประชาสังคมในครั้งนี้ว่า เขาไม่รู้สึกกังวล และคิดว่าคนเหล่านี้สามารถมาชุมนุมได้ โดยที่การเจรจาข้อตกลงเอฟทีเอเป็นข้อตกลงในเรื่องการค้า ซึ่งมีผลกระทบระหว่างประเทศ และผู้ชุมนุมก็คงจะศึกษาข้อมูลแล้วว่าข้อตกลงดังกล่าวมีข้อกังวลใจอะไรบ้าง เช่น เรื่องยา หรือเรื่องการเกษตร
“การเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงให้กับผู้ปฏิบัติงานน่าจะมีประโยชน์ เพราะผู้ปฏิบัติงานก็อาจคาดไม่ถึงบางเรื่อง และเพื่อให้ข้อมูลครบทุกมิติ” ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าว