เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบและกำกับติดตามการเข้าถึงบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยโรคเอดส์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และวัณโรค จัดแถลงข่าว “งานเอดส์ประเทศไทย: ก้าวได้ไกล ไปใกล้ถึง” ณ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กทม.
ผู้ร่วมแถลงข่าวประกอบด้วย 1) พญ.จุรีรัตน์ บวรวัฒนนุวงศ์ นายกสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย 2) นพ.พงศ์ธร ชาติพิทักษ์ ผู้อำนวยการกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค 3) ศ.กิตติคุณ นพ.ประพันธ์ ภานุภาค กรรมการและที่ปรึกษาสมาคมเอดส์แห่งประเทศไทย 4) นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ อดีตนายกสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย 5) นายนิมิตร์ เทียนอุดม ประธานคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบและกำกับติดตามการเข้าถึงบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยโรคเอดส์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และวัณโรค 6) นางยุพา สุขเรือง ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย และ 7) รศ.ดร.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการ สปสช.

ยุพา สุขเรือง ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย ผู้ร่วมแถลงข่าวกล่าวว่า สิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวีได้พัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี ที่มีผลข้างเคียงน้อยและเป็นมิตรต่อผู้ติดเชื้อฯ มาตรฐานการรักษาในปัจจุบันกำหนดไว้ว่าเมื่อตรวจพบว่าติดเชื้อฯ สามารถรับการรักษาได้เลย ไม่ต้องรอให้ป่วย ขณะเดียวกันคนที่ใช้ยาต้านไวรัสฯ มานาน หรือมีโรคร่วมอื่นๆ รวมถึงผู้สูงอายุ ก็มีสูตรยาทางเลือกที่เหมาะสมกับตัวเอง ทำให้ผู้ติดเชื้อฯ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ที่สำคัญผู้ติดเชื้อฯ ที่กินยาต้านไวรัสฯ ต่อเนื่อง จนตรวจไม่พบเชื้อในเลือด ‘เท่ากับ’ ไม่ส่งต่อเชื้อให้คนอื่น หรือ ‘ยูเท่ากับยู’ ก็ช่วยให้ผู้ติดเชื้อฯ ได้ใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น
เราอยากบอกว่าตอนนี้ไม่มีคำว่า ‘เอดส์ระยะสุดท้าย’ แล้ว เพราะมียาต้านไวรัสฯ และถ้าป่วยด้วยโรคแทรกซ้อนก็รักษาได้ หลายโรคก็ป้องกันก่อนป่วยได้
ถ้าเรามีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน ก็ไปรับการตรวจเอชไอวีได้ คนไทยไม่ว่าจะมีสิทธิการรักษาใด เข้ารับการตรวจได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย การตรวจเร็ว รู้ผลไว ก็จะทำให้วางแผนดูแลสุขภาพของตัวเองได้ดีขึ้น ถ้าผลตรวจออกมาว่า ‘ติดเชื้อ’ ก็เข้ารับการรักษาได้เร็ว ถ้า ‘ไม่ติดเชื้อ’ ก็หาทางป้องกันตัวเองให้เป็นลบไปตลอด
ยุพากล่าวต่อไปว่า ในด้านการดูแลรักษามีความก้าวหน้าไปมาก แต่การถูกเลือกปฏิบัติและถูกละเมิดสิทธิเพราะเอชไอวีนั้น ยังมีปัญหาอยู่ บางพื้นที่ลูกของผู้ติดเชื้อฯ ไม่ได้เข้าเรียน หรือรับเข้าเรียนแต่ให้ครูมาสอนที่บ้าน หรือต้องไปเรียนที่อื่นไกลบ้าน
เรายังมีเพื่อนหลายคนอยากทำงาน แต่ก็ต้องถูกตรวจเลือดก่อนเข้าทำงาน หรือระหว่างทำงาน เพื่อนบางคนอยากบวชแต่ไม่ได้บวช เพราะวัดให้นำผลเลือดไปแสดงก่อน เพื่อนบางคนยังถูกจัดคิวให้ทำฟันเป็นลำดับสุดท้าย ที่สำคัญหน่วยงานของรัฐอย่างทหาร หรือตำรวจก็มีกฎระเบียบที่บังคับให้ตรวจเอชไอวี และใช้ผลตรวจเลือดสมัครสอบ จึงอยากเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐต้องแก้ไขกฏระเบียบที่ล้าหลัง ปรับปรุงระเบียบการรับสมัครเรียนหรืองาน ให้ปราศจากอคติต่อเอชไอวีที่ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ติดเชื้อฯ
“แม้ว่าตอนนี้ยังมีบางคนรังเกียจ หรือยังกลัวผู้ติดเชื้อฯ อยู่ ก็อยากจะบอกว่าจะกลัวก็กลัวไป จะรังเกียจก็รังเกียจไป บังคับกันไม่ได้ แต่เราต้องเท่าทันตัวเองว่าความกลัวนั้นอยู่บนฐานของข้อเท็จจริงหรือไม่ และที่สำคัญอย่านำความกลัวนั้นมาลดทอนคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ติดเชื้อฯ” ยุพากล่าว