คิดเห็นอย่างไร?? เวลาที่เห็นข่าวเกี่ยวกับ ‘เอชไอวี’ ปรากฎตามหน้าสื่อต่างๆ เช่น เต้ มงคลกิตติ์ เสนอ รมว.ศธ.-อว. ออกประกาศ ห้าม น.ร.-น.ศ.มีเพศสัมพันธ์ แก้ปัญหาติดเชื้อ HIV (มติชน) เอดส์กลับมาแล้ว ติดกันเพียบ (Workpoint) วุ่นทั้งมหา’ลัย ! ตามหา “น้องเดียร์” แพร่เชื้อ HIV (ข่าว Ch 7) แม่โทรมาวีน คาดลูกสิวแตกที่ร้านตัดผม กลัวติด HIV เหตุช่างเป็น LGBTQ+ (ข่าวสด) ฯลฯ
อภิวัฒน์ กวางแก้ว รองประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย ตอบว่า ถ้าไม่นับสีสันในการพาดหัวที่ชวนฮือฮา แต่โฟกัสไปที่เนื้อหาของแต่ละข่าวที่นำเสนอก็ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า แม้เอชไอวีจะอยู่กับเรามานานกว่า 40 ปีแล้วก็ตาม แต่ความเกลียด ความกลัว ความเข้าใจผิด หรือไม่ยอมรับในการมีอยู่ของเอชไอวีจนกลายเป็น #อคติ ที่นำไปสู่การตีตราและเลือกปฏิบัติต่อกันนั้น ‘ยังคงมีอยู่’ ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องผิดแต่อย่างใด หากความกังวลใจนั้นยังไม่ได้รับการอธิบายด้วยข้อมูลที่รอบด้าน
แล้วเวลาเห็นปรากฏการณ์ซ้ำๆ แบบนี้ การทำงานในมุมของผู้ติดเชื้อฯ ถือว่า ‘ล้มเหลวไหม’ ที่เรายังไม่สามารถสื่อสารให้คนในสังคมก้าวข้ามความกลัวที่มีต่อเอชไอวีออกไปได้
อภิวัฒน์ตอบว่า ‘ไม่ได้รู้สึกว่าล้มเหลว’ หรือ ‘รู้สึกท้อแท้แต่อย่างใด’ เพราะเป้าหมายอย่างหนึ่งที่เราพยายามรณรงค์เรื่องเอชไอวีมาตลอดนั้น ไม่ได้เน้นเพียงแค่สร้างการรับรู้ แต่ต้องการให้คนเข้าถึงข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน เพื่อนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและทัศนคติที่มีต่อเอชไอวี ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา
และที่รู้สึกว่าไม่ล้มเหลวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ตั้งแต่เราทำงานด้านนี้มาเราเห็นประเด็นการรณรงค์สื่อสารสาธารณะเรื่องเอชไอวีไม่ได้ถูกทำให้เป็น ‘ของตาย’ หมายความว่าไง ก็หมายความว่าประเด็นการสื่อสารมีการปรับไปตามยุคสมัยของข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้เห็นถึงความพยายามของทุกภาคส่วนที่อยากจะพัฒนาประเด็นในการสื่อสารที่เข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น เพียงแต่อาจจะไม่ได้ดูหวือหวา และต้องมาพร้อมกับชุดคำอธิบายเพื่อขยายความเข้าใจเพิ่มเติม
ถ้าย้อนไปยุคแรกๆ เราเจอการสื่อสารว่า ‘เอดส์เป็นแล้วตาย’ ซึ่งโดยข้อเท็จจริงเมื่อ 40 ปีก่อนก็เป็นแบบนั้นจริง มีคนป่วย คนตายจากเอดส์จริง อีกทั้งยังมีการเตือนไม่ให้มีการติดเชื้อฯ เพิ่ม โดยนำภาพอาการป่วยที่ดูน่ากลัวมาฉายซ้ำๆ จนทำให้คนในยุคนั้นกลัวคนเป็นเอดส์อย่างมากจนไม่อยากเข้าใกล้ ซึ่งเป็นเหมือนดาบสองคมที่ยังคงส่งผลมาจนถึงทุกวันนี้
แต่เมื่อเทคโนโลยีทางการแพทย์มีความก้าวหน้า ทั้งการเข้าถึงยารักษาโรคติดเชื้อฉวยโอกาส การมียาต้านไวรัสฯ รวมไปถึงการผลักดันให้ประเทศไทยมีระบบหลักประกันสุขภาพ และพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ด้านเอชไอวีอย่างมีมาตรฐาน บวกกับสถานการณ์ที่ผู้ติดเชื้อฯ แม้จะกลับมามีสุขภาพแข็งแรงใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม แต่ก็ยังคงถูกตีตราอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า ‘การสื่อสารเรื่องเอดส์ไม่ควรย่ำอยู่ที่เดิม’
การรณรงค์ในยุคถัดมาจึงเป็นเรื่องของ ‘เอดส์รู้เร็วรักษาได้’ ‘เอชไอวีควบคุมได้’ ‘เอชไอวีป้องกันได้’ ‘เราอยู่ร่วมกันได้’ เพื่อต้องการสื่อให้เห็นข้อเท็จจริงว่า ใครก็ตามที่ป่วยจากการติดเชื้อฉวยโอกาสก็มียารักษาให้หาย มียาต้านไวรัสฯ ที่ทำหน้าที่กดเชื้อเอชไอวีให้มีจำนวนลดลงจนทำให้ผู้ติดเชื้อฯ มีร่างกายแข็งแรงไม่ป่วยง่าย มีอุปกรณ์ป้องกันเชื้อฯ ที่เข้าถึงได้สะดวก และที่สำคัญต้องการชี้ให้เห็นถึงช่องทางในการติดเชื้อฯ ว่าไม่ได้เกิดจากการทำงาน หรือการอยู่ร่วมกันแต่อย่างใด
มาจนถึงตอนนี้งานรณรงค์เรื่องเอชไอวียังพ่วงเรื่อง ‘U=U’ (Undetectable=Untransmittable) เข้ามาเพิ่มเติมอีกด้วย เพื่อต้องการจะบอกว่าผู้ติดเชื้อฯ ที่กินยาต้านไวรัสฯ จนตรวจไม่พบเชื้อในเลือด ‘เท่ากับ’ ไม่มีการส่งต่อเชื้อเอชไอวีให้กับคนอื่น ซึ่งไม่เพียงจะเป็นการส่งสารให้กับผู้ติดเชื้อฯ ที่เข้าถึงยาต้านไวรัสฯ ได้ใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจแล้ว ยังต้องการส่งเสริมให้คนทุกคน ‘ย้ำว่า’ ทุกคน ไม่ใช่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ได้รู้สถานะผลการติดเชื้อของตัวเอง เพื่อจัดการสุขภาพหลังรู้ผล ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี การรักษา หรือการป้องกันก็มีชุดสิทธิประโยชน์รองรับไว้อยู่แล้วในทุกสิทธิการรักษา
แต่แน่นอนการจะทำให้คนรู้สึกปลอดภัยและเปิดใจมองเอชไอวีเป็นเรื่องปกติของการดูแลสุขภาพตัวเองได้นั้น ก็เป็นเรื่องของทุกภาคส่วนต้องช่วยกันสร้างบรรยากาศหรือสิ่งแวดล้อมที่เอื้อให้ให้คนได้เข้าถึงข้อมูลที่รอบด้านและปราศจากอคติ
“ในมุมของภาคประชาชนก็ยังไม่เหนื่อยนะ เราพร้อมที่จะเป็นฟันเฟืองเล็กๆ ช่วยสื่อสารเรื่องเอชไอวีร่วมกับหน่วยงานและองค์กรภาคีอื่นๆ ต่อไป เพราะอย่างที่รู้กันว่าการจะสร้างความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง นอกจากจะต้องใช้เวลาแล้วก็ต้องอาศัยภาคีเครือข่ายมาร่วมเป็นพลังขับเคลื่อน และสิ่งที่อยากเห็นอีกอย่างหนึ่งคือ การนำเสนอข่าวของสื่อที่นอกจากจะรายงานปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวีในเชิงอารมณ์ความรู้สึกที่ชวนหวือหวาน่าตื่นเต้นแล้ว ก็อยากให้ใส่ข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านเพิ่มเติมเข้าไปด้วย อย่างน้อยๆ จะได้เป็นส่วนหนึ่งของการคลี่คลายความกังวลให้กับผู้อ่าน และช่วยลดการฉายภาพซ้ำของการตีตราอีกด้วย” อภิวัฒน์ กล่าว
….
อ้างอิงที่มาข่าว:
มติชน: https://www.matichon.co.th/local/education/news_5266359
Workpoint: https://www.youtube.com/watch?v=_QAM69Wtq4g
ข่าว Ch 7: https://www.youtube.com/watch?v=Kc1fZrGgKBk
ข่าวสด: https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_9849679