23 กันยายน 2568: โครงการ Make Medicines Affordable (MMA) ภายใต้ความร่วมมือกับ ITPC Global เรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกแก้ไข ‘ร่างปฏิญญาทางการเมืองของสหประชาชาติว่าด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง’ (NCDs) เพื่อรับประกันให้ทุกคนเข้าถึงยาได้จริง ซึ่งได้นำเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ของสหประชาชาติไปเมื่อวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา
ประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก คือ ร่างปฏิญญาฉบับนี้ละเลยวิกฤตการณ์เข้าไม่ถึงยาจำเป็น และขาดมาตรการที่ชัดเจนในการจัดการกับอุปสรรคด้านทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคายาแพงเกินเอื้อม
ข้อบกพร่องของร่างปฏิญญา
กลุ่มภาคประชาสังคมเตือนว่าร่างปฏิญญาฉบับล่าสุดไม่ได้ยืนยันสิทธิของรัฐบาลในการใช้ ‘มาตรการยืดหยุ่นทริปส์ (TRIPS)’ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงยารักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs ได้ และถึงแม้ถ้าจะมีการยืนยันสิทธินี้ไว้ ก็ยังไม่พอ เพราะประเทศรายได้น้อยและปานกลาง (LMICs) มักถูกกดดันทางการเมืองและเศรษฐกิจขัดขวางไม่ให้นำมาตรการดังกล่าวมาใช้
ทั้งนี้ปฏิญญาที่เคยออกมาก่อนหน้านี้ ใช้ถ้อยคำที่ไร้น้ำหนักและไม่ได้สนับสนุนการใช้มาตรการยืดหยุ่น TRIPS อย่างชัดเจน แต่ในร่างฉบับล่าสุดถ้อยคำเหล่านั้นถูกตัดทิ้งและแทนที่ด้วย “มาตรการโดยความสมัครใจและการยืนยันสิทธิในปฏิญญาโดฮา (voluntary measures and reaffirmation of Doha Declaration)” ดังที่เห็นในช่วงโควิด – 19 ระบาด ที่ไม่สามารถช่วยให้ประเทศรายได้น้อยและปานกลางเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเสมอภาค ความผิดพลาดแบบเดียวกันต้องไม่เกิดซ้ำกับยารักษาโรค NCDs อีก

โครงการ Make Medicines Affordable (MMA) จึงเรียกร้องประเทศสมาชิกของสหประชาชาติว่า ปฏิญญาที่จะสรุปสุดท้ายต้องมีเนื้อหาต่อไปนี้ระบุไว้อย่างชัดเจน ดังนี้:
- ยืนยันสิทธิในการใช้มาตรการยืดหยุ่น TRIPS เช่น การใช้สิทธิตามสิทธิบัตร (Compulsory Licensing: CL) เพื่อขจัดอุปสรรคด้านทรัพย์สินทางปัญญา
- ให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่กดดันประเทศรายได้น้อยและปานกลางที่จะนำมาตรการเหล่านี้มาใช้
- กำหนดเป้าหมายให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ผู้ผลิตในประเทศรายได้น้อยและปานกลาง เช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อผลิตยารักษาโรค NCDs ที่จำเป็นให้แก่ผู้ผลิตในประเทศเหล่านี้ จะต้องเกิดขึ้นภายในปี 2030
- สร้างกลไกให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็น “ความลับทางการค้า” (Trade Secret) เกี่ยวกับกระบวนการผลิต ซึ่งจำเป็นต่อการผลิตยาชีววัตถุคล้ายคลึง (biosimilars) ได้อย่างทันท่วงที

ถ้าไม่มีมาตรการเหล่านี้ ปฏิญญาของสหประชาชาติก็ขัดแย้งกับหลักการ “ความเสมอภาคในการเข้าถึงและการบูรณาการของภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน” (Equity and Integration) และเป้าหมายที่จะมียารักษา NCDs ในราคาที่ไม่แพงใช้ในระบบสุขภาพปฐมภูมิทั่วโลกอย่างน้อย 80% ภายในปี 2030 ก็จะเป็นเพียงคำสัญญาที่ ‘ทำไม่ได้จริง’
บัญชียาหลักองค์การอนามัยโลก: สัญญาณเตือน
บัญชียาหลักขององค์การอนามัยโลกที่เป็นแม่แบบให้กับประเทศต่างๆ (WHO Model List of Essential Medicines: EML) ที่ออกมาล่าสุดเมื่อวันที่ 5 กันยายน ชี้ให้เห็นว่าจำเป็นต้องเร่งจัดการกับปัญหาเรื่องราคา องค์การอนามัยโลกได้เพิ่มยาราคาแพงสำหรับการรักษามะเร็ง โรคซิสติกไฟโบรซิส (ความผิดปกติทางพันธุกรรมที่มีผลต่อเซลล์ที่ผลิตของสารคัดหลั่ง) โรคเบาหวาน โรคสะเก็ดเงิน โรคฮีโมฟีเลีย (โรคเลือดออกง่ายหยุดยาก) และโรคเลือดชนิดอื่น ๆ ในบัญชียาหลัก
โดยปกติองค์การอนามัยโลกจะคัดเลือกเฉพาะยาที่เข้าถึงได้อย่างกว้างขวางในประเทศรายได้น้อยและปานกลาง (LMIC) ไว้ในบัญชียาหลัก แต่การเพิ่มยารักษามะเร็งและโรคซิสติกไฟโบรซิส ที่มีราคาหลายแสนดอลลาร์ต่อคนต่อปี ในบัญชียาหลักขององค์การอนามัยโลกที่เป็นแม่แบบ แล้วจะให้ประเทศเหล่านั้นปฏิบัติตาม เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก ถ้ารัฐบาลของประเทศเหล่านั้นไม่สามารถจัดการอุปสรรคด้านทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อให้เกิดการเข้าถึงได้ สุดท้ายแล้วจะเป็นนโยบายที่ทำไม่ได้จริง เช่น
- ยา Pembrolizumab (ยารักษามะเร็ง) ราคาในสหรัฐฯ และแคนาดาสูงถึง 150,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
- ยา Elexacaftor/tezacaftor/ivacaftor (ยารักษาซิสติกไฟโบรซิส) ราคาเกิน 300,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
ราคาที่แพงเกินควรนี้เกิดจากการผูกขาดของบริษัทยาที่ใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อแสวงหากำไรสูงสุด ในขณะที่ประชาชนในประเทศรายได้น้อยและปานกลางกลับเข้าถึงยาช่วยชีวิตไม่ได้ ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งที่ร่วมการประชุมขององค์การอนามัยโลกเองก็ชี้ว่า ยาเหล่านี้ “เป็นยาที่ไม่น่าจะซื้อไหว ไม่เหมาะสมสำหรับหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศรายได้น้อยและปานกลาง เพราะราคาแพงเกินไป ต้องใช้การวินิจฉัยพิเศษ และอาจแย่งงบประมาณของยาจำเป็นสำหรับโรคอื่น ๆ”

จากคำสัญญาสู่การปฏิบัติ
การเพิ่มยาที่ “แพงเกินเอื้อม” ในบัญชียาหลักขององค์การอนามัยโลก สะท้อนให้เห็นความย้อนแย้งได้ชัดเจน ในขณะที่ในระดับโลกยอมรับว่ายาจำเป็นต้องมียาอะไรบ้าง แต่ในระดับประเทศ รัฐบาลรับประกันไม่ได้ว่าจะจัดหายาเหล่านั้นให้กับประชาชนของตนเองได้
ถ้าปฏิญญาทางการเมืองของสหประชาชาติยังมีความคลุมเครือในการจัดการปัญหาราคายา อุปสรรคด้านทรัพย์สินทางปัญญา และการถ่ายทอดเทคโนโลยี คำสัญญาที่ตกลงร่วมกันที่กรุงนิวยอร์คจะเป็นเพียงถ้อยคำในกระดาษ แต่ไม่ทำให้ผู้ป่วยโรค NCDs เข้าถึงการรักษาได้จริง