พรรณอุมา สีหะจันทร์
เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย
“อลิซ” วัยรุ่นไฟแรงอายุ ๒๐ กว่าๆ เธอเรียนจบปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง เธอทำงานในวงการเสื้อผ้า – แฟชั่นได้เกือบ ๒ ปี อลิซได้งานทำตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ แต่เมื่อเร็วๆ นี้เธอสมัครงานที่บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง สัมภาษณ์งานผ่านและเซ็นสัญญาเข้าทำงานแล้ว แต่ต่อมาเขาปฏิเสธเธอเข้าทำงาน หลังจากทราบว่าเธอ “มีเชื้อเอชไอวี”
“งานที่นี่ เป็นตำแหน่งที่หนูอยากทำ เป็นโอกาสที่จะได้เปิดหูเปิดตา ได้เที่ยว งานมันน่าจะสนุกมาก เพราะมีข้อมูลเรื่องเทรนด์ เรื่องแฟชั่นมา ก็บินไปซื้อ แล้วนำกลับมาขาย” อลิซเล่า
อลิซ ถูกสัมภาษณ์งานอยู่ ๓ รอบ ทั้งกับฝ่ายบุคคล (HR) และผู้จัดการ ก่อนที่จะเซ็นสัญญา และตกลงเริ่มงานกันในตอนต้นเดือน
วันที่อลิซมาเซ็นสัญญาเพื่อตกลงทำงาน เธอได้รับใบตรวจสุขภาพมาด้วย โดยใบตรวจสุขภาพไม่ได้บอกรายละเอียดอะไร เพียงแค่ระบุชื่อ และวันเวลาที่ให้ไปตรวจเท่านั้น แม้เธอจะสอบถามกับฝ่ายบุคคลว่าต้องตรวจอะไรบ้าง ก็ได้รับคำตอบว่า ตรวจความสมบูรณ์ของร่างกายทั่วๆ ไป
“ตอนที่ไปโรงพยาบาล เขาก็บอกว่ามีตรวจเอชไอวี มีเอ็กซเรย์ปอด ตรวจปัสสาวะ และเจาะเลือด ตอนที่พยาบาลบอกว่าตรวจหาเชื้อเอชไอวี ก็ยังคิดว่ามันจะจริงเหรอ เพราะ HR ไม่ได้แจ้ง และถ้ามีจริง เราจะต้องเซ็นยินยอมก่อน แต่พอตรวจเสร็จ ออกมาหน้าเคาน์เตอร์ ก็มีใบมาให้เซ็นยินยอมตรวจเอชไอวีและเปิดเผยผลเลือด”
อลิซ เล่าว่า บริเวณหน้าเคาน์เตอร์ มีพยาบาลอยู่ ๔ – ๕ คน เธอลังเลใจ คิดว่าจะยอมเซ็นดีหรือไม่ เพราะขั้นตอนสลับกันไปหมด เธอกังวลว่า หากไม่กรอกลงไปว่ายินยอม เขาจะสงสัยไหม เลยคิดว่าเซ็นไปคงไม่มีอะไร
๑ ชั่วโมงต่อมา อลิซได้พบกับคุณหมอ โดยคุณหมอถามเธอว่า “เคยมีพฤติกรรมเสี่ยงหรือเปล่า?” จากการที่ผลเลือดของเธอพบว่ามีเชื้อเอชไอวี
“ก็ไม่มีนะคะ” อลิซตอบ
เธอแจ้งกับคุณหมอว่าเธอไม่เคยมีพฤติกรรมเสี่ยง แต่เธอรู้มานานแล้วว่าเธอมีเชื้อเอชไอวีตั้งแต่แรกเกิด
“หมอเขาก็แอบเชียร์ ถามว่าทำงานตำแหน่งอะไร หมอบอกว่ามันไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย น่าจะปฏิบัติงานได้” อลิซเล่า “แต่ตอนนี้มีปัญหาแล้ว เพราะเขาต้องส่งผลเลือดให้กับบริษัท มันเป็นข้อตกลงกันระหว่างโรงพยาบาลกับบริษัท หมอเลยแนะนำว่า จะชะลอผลการตรวจไว้ แล้วให้ไปคุยกับ HR ก่อน”
เธอทำตามที่หมอแนะนำ เธอกลับไปปรึกษาผู้ใหญ่หลายคน ก่อนจะตัดสินใจเข้าไปคุยกับทางบริษัทก่อนที่จะเริ่มงาน ๑ วัน
“ก่อนคุยเราก็ถามว่าการตรวจสุขภาพมีเกณฑ์ในการรับเข้าทำงานยังไง เขาก็เล่าให้ฟังเกือบทุกกรณี แต่สุดท้ายก็มาจบที่เรื่องเอชไอวีว่ามีน้องคนหนึ่ง เขาทำสายโรงแรม ซึ่งต้องใกล้ชิดกับลูกค้า ถ้ารับคนที่มีเชื้อเอชไอวีเข้ามา เขากลัวว่ามันจะไม่สวย ไม่น่ามอง คือ เขายังติดภาพว่ามันน่าเกลียด น่ากลัว ผิวจะไม่ดี และมีอีกกรณีหนึ่ง ที่มาสมัครงานและไปตรวจสุขภาพเสร็จแล้วก็หายไปเอง พอผลส่งมาที่บริษัท รู้ว่ามีเอชไอวี เขาเลยเข้าใจว่าเพราะอย่างนี้นี่เอง”
พออลิซบอกไปว่า ผลเลือดของเธอผิดปกติ ทาง HR ก็อึ้งไป เมื่อปะติดปะต่อเรื่องได้ ก็ชื่นชมว่า เธอเก่งมาก จากนั้นก็แจ้งว่า วันทำงานในวันรุ่งขึ้นให้หยุดไว้ก่อน ขอปรึกษากับทางผู้ใหญ่ก่อน
“วันนั้น เขาไม่ได้พูดตรงๆ ว่ามีเชื้อเอชไอวีแล้วจะไม่รับ แต่ที่เขายกตัวอย่าง มีแบบหายไปเอง กับทำงานโรงแรม ที่เขาคิดเอาว่าจะมีผลกับลูกค้า แต่หนูทำเสื้อผ้า มันเกี่ยวอะไรด้วย?” อลิซ ตั้งคำถาม
หลังจากนั้น ทางบริษัทก็เงียบไป ไม่ติดต่อกลับมา อลิซพยายามโทรตามหลายครั้งก็ไม่รับโทรศัพท์ จนวันหนึ่ง เมื่อโทรติดต่อได้ จึงนัดหมายเข้าไปคุยอีกครั้ง
“เขาให้หนูเซ็นใบลาออก พร้อมจ่ายเงินเดือนให้ ๑ เดือน แถมยังอนุญาตให้เขียนลงในประวัติการทำงานด้วยว่าเคยทำงานที่นี่ โดยเขาบอกว่าเอกสารการสมัครงานของหนูไม่สมบูรณ์ คือ หนูไม่ได้เขียนที่ทำงานล่าสุดลงไปในใบสมัครงานและเรซูเม่ ส่วนเรื่องเอชไอวี เขาเข้าใจ และเห็นด้วยทุกอย่าง”
อลิซ เล่าว่า ความรู้สึกตอนนั้น เธอตั้งคำถามกับตัวเองว่า ที่เธอเคยเข้าใจมาในเรื่องเอชไอวี/เอดส์นั้นผิดหมดเลยเหรอ เพราะเมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิด ที่เธอเชื่อ ว่าคนมีเชื้อเอชไอวีทำงานได้เหมือนคนอื่น ไม่มีอะไรที่แปลกไปจากคนอื่น สามารถใช้ชีวิตได้จนแก่
“เราสตั๊นเลย ไม่รู้จะอธิบายยังไง มันเป็นบริษัทใหญ่ที่แรกที่เราได้เข้าไปทำ ยังไม่ทันจะเริ่มเลยก็เจอแล้ว มันผิดหวัง คิดว่าถ้าเราไปที่อื่นมันจะมีอีกไหม รู้สึกว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนี้ และเขาเองก็เป็นบริษัทใหญ่ ที่ไม่ได้ดูคร่ำครึ เก่าแก่อะไรเลยนะ มีแต่คนรุ่นใหม่ขึ้นมาบริหารงาน แล้วเขาไปอยู่ตรงไหนของโลกมา เลยไม่รับรู้ข่าวสารเรื่องเหล่านี้เลย”
อลิซ บอกว่า ตั้งแต่ที่เธอเรียนจบ และเริ่มสมัครงาน หางานทำ เธอไม่ได้กังวลใจในการมีเชื้อเอชไอวีของตัวเองเลย เพราะเธอก็เคยสมัครงาน ทำงานมาตลอด และที่ผ่านมา การมีเชื้อเอชไอวีไม่เคยเป็นอุปสรรคอะไรในชีวิตของเธอ
“ตอนเรียน สอบติด เขาก็ยังให้เรียน หนูก็ไปเรียนได้ ตอนนี้ก็เริ่มคิดว่า ถ้ามหาวิทยาลัยทำแบบนี้บ้าง หนูจะได้เรียนมั้ย คือ การทำงาน แค่ทำงานให้เขาได้ ไม่มีปัญหาก็จบแล้ว ไม่ต้องตรวจสุขภาพด้วยซ้ำ”
อลิซ บอกว่า การตรวจหาเชื้อเอชไอวีก่อนเข้าทำงานมีผลกระทบอย่างมากกับคนที่จะทำงาน อย่างเธอคาดหวังการเรียนรู้ที่จะได้จากการทำงาน เนื่องจากเป็นโลกที่ต้องเรียนรู้นอกห้องเรียน ซึ่งเป็นโอกาสที่เด็กทุกคนควรต้องได้ แต่ก็ต้องหมดโอกาสไป
อลิซ บอกว่า “จริงๆ แล้ว มันเหมือนเป็นการเหยียดเรา เขารังเกียจเรานี่เอง”
สิ่งที่เธอต้องการบอกกับผู้ประกอบการ คือ ไม่ต้องเห็นใจผู้ติดเชื้อเอชไอวี เพราะการเห็นใจทำให้รู้สึกน่าสงสาร แต่เธอต้องการให้ผู้ประกอบการเห็นว่า “เขาก็ต้องพึ่งเรา ไม่ใช่เราต้องพึ่งเขาฝ่ายเดียว”
“เขาไม่เอาเงินจากเราด้วยไหม เราก็กิน ก็ใช้ของเขานะ แล้วจำนวนไม่ได้น้อยกว่ากันเลย เราไปจับต้อง กิน ใช้ของของเขาได้ เขายังไม่รังเกียจเรา แล้วทำไมเราเข้าไปทำงานช่วยเขาไม่ได้ มันก็ไม่ต่างกันกับซื้อของ การรับของหน้าร้านมันต่างกันยังไงกับเป็นคนขายเอง” อลิซตั้งคำถาม
แม้เธอจะเป็นคนหนึ่งที่ถูกบริษัทปฏิเสธรับเข้าทำงาน แต่เธอก็อยากบอกถึงเพื่อนๆ น้องๆ ทุกคนที่อยู่ในวัยกำลังจะทำงาน และหางานว่า อย่าลดคุณค่าของตัวเอง เธออยากให้คิดว่า ตัวเองมีค่าพอที่จะทำงานในตำแหน่งนั้นๆ เรามีสิทธิที่จะเลือกเช่นเดียวกัน
“บางทีก็รู้สึกไม่ดีนะ ที่เขาพูดว่าให้ไปที่อื่นซิ จะไปทำให้ตัวเองผิดหวังทำไม มันเหมือนเราแอบดูถูกตัวเองเล็กๆ นะว่าเราไม่เหมาะสม ทั้งที่มันไม่เกี่ยว เราทำงานได้อย่างที่เราอยากจะทำ อยากจะเป็น ไม่มีเหตุผลอะไรที่ใครจะมาดับฝัน นอกจากเราจะดับมันเองว่าเราไม่เหมาะ”
อย่างไรก็ดี แม้อลิซจะไม่ได้เข้าทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนั้น แต่เธอก็ไม่ละความพยายาม เธอไปสมัครงานที่บริษัทแห่งใหม่
ที่นี่เธอต้องทดสอบทั้งภาษาอังกฤษ ทักษะทางคอมพิวเตอร์ และคณิตศาสตร์ ก่อนสอบสัมภาษณ์ ซึ่งผลการทดสอบกับผลการสัมภาษณ์อยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งนี้ สิ่งที่บริษัทแห่งนี้มีเหมือนกับบริษัทที่แล้วคือ “การตรวจสุขภาพ”
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีการตรวจเอชไอวี
“เห็นมั้ย มีด้วย บริษัทที่เขาไม่ได้ตรวจเอชไอวี” อลิซ ยืนยันกับเรา
แม้ขณะนี้ อลิซจะได้เข้าทำงานแล้ว แต่ยังมีวัยรุ่น หรือคนที่มีเชื้อเอชไอวีอีกเท่าไหร่ ที่ยังต้องเผชิญกับความกลัว ความไม่มั่นใจในการสมัครงาน เพราะคนยังคงรังเกียจ กีดกัน เมื่อรู้ว่ามีเชื้อเอชไอวี ทั้งที่ดูไม่ออกจากรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ติดต่อจากการทำงานร่วมกัน และการมีเชื้อเอชไอวีก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำงานแต่อย่างใด
แล้ว “เรา” จะช่วยกัน “เปลี่ยน” เพื่อให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีที่ยืนในสังคมนี้ได้อย่างไร?!?