เมื่อร่างกายเราได้รับ ‘เชื้อเอชไอวี’ จะมีสุขภาพไม่ต่างจากเดิมเลย เพราะเชื้อเอชไอวี จะไม่ทำให้เราป่วยทันที ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเรายังมีภูมิคุ้มกันที่สามารถควบคุมหรือจัดการกับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายได้ อาการเจ็บป่วยจากโรคฉวยโอกาสจึงไม่ปรากฏ เรียกว่าเป็น ‘ผู้ติดเชื้อเอชไอวี’ พอภูมิคุ้มกันถูกทำลายไปเรื่อยๆ จนไม่สามารถควบคุมหรือจัดการกับเชื้อโรคบางอย่างได้จะทำให้เราป่วยซึ่งอัตราเฉลี่ยของคนไทยที่เริ่มป่วยใช้เวลา 7 – 10 ปี ตั้งแต่วันที่รับเชื้อฯ ทำให้ร่างกายเริ่มมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องเป็น ‘ผู้ป่วยเอดส์’ โรคที่เราป่วยเนื่องจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องเรียกว่า ‘โรคติดเชื้อฉวยโอกาส’ ในทางการแพทย์จะใช้การตรวจซีดี 4 (ระดับภูมิคุ้มกัน) ถ้าต่ำกว่า 200 หรือเมื่อเริ่มมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่างๆ เช่น เชื้อราในปาก เริมที่อวัยวะเพศ (เป็นบ่อยหรือรุนแรง) วัณโรค งูสวัดที่รุนแรงหรือเป็นซ้ำใน 1 ปี เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ปอดอักเสบ เป็นต้น จะถือว่าอยู่ใน ‘ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง’ แต่โรคติดเชื้อฉวยโอกาสทุกโรครักษาหายได้ หลายโรคป้องกันได้
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ป่วยเร็ว ป่วยช้า หรือไม่ป่วยเลยนั้น ขึ้นอยู่กับการเข้าถึงยาต้านไวรัสเอชไอวีที่เร็วและได้มาตรฐาน เพื่อให้ยาต้านไวรัสฯ ทำหน้าที่ลดจำนวนเอชไอวีในเลือดให้ต่ำที่สุด (น้อยกว่า 50 copies/cc) และนานที่สุด เมื่อผู้ติดเชื้อฯ ได้รับยาอย่างต่อเนื่องจนเชื้อเอชไอวีในร่างกายลดลง โอกาสที่จะป่วยด้วยโรคฉวยโอกาสจึงแทบจะไม่มีเลย ที่สำคัญยังทำให้ผู้ติดเชื้อฯ มีสุขภาพดี สามารถเรียนได้ ทำงานได้ มีลูก มีคู่ มีครอบครัวได้ และมีชีวิตยืนยาวจนเข้าสู่ช่วงสูงวัยได้ไม่ต่างจากคนที่ไม่มีเชื้อเอชไอวี










