นับตั้งแต่วันแรกที่ผมพบว่าตัวเองติดเชื้อเอชไอวีจนถึงวันนี้ก็ เป็นเวลากว่า20 ปีแล้ว 20 ปีเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าคนส่วนหนึ่งยังกังวล และกลัวที่จะใช้ชีวิตร่วมกับผม แต่ผมไม่เคยท้อที่จะพยายามทำความเข้าใจและยืนยันว่า “เราอยู่ร่วมกันได้”
ผมทำงานเพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องนี้มาหลายปี และใช้โรงแรมทาวน์อินทาวน์เป็นสถานที่จัดงานมาหลายปีเช่นกัน แต่เร็วๆ นี้ โรงแรมกลับปฏิเสธการให้บริการผู้ติดเชื้อฯ และองค์กรที่ทำงานเกี่ยวข้องกับผู้ติดเชื้อฯ ในทุกกรณี รวมทั้งผู้ติดเชื้อฯ ที่ตั้งใจใช้โรงแรมเป็นสถานที่จัดงานเพื่อลดการกีดกันและเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อฯ ด้วยบอกโรงแรมทาวน์อินทาวน์ให้เลิกกีดกันผู้ติดเชื้อเอชไอวี
ผมเจอเหตุการณ์ทำนองนี้มาตลอด 20 กว่าปี กรณีของโรงแรมทาวน์อินทาวน์ทำให้ผมอยากเล่าเรื่องเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงตัว เล็กๆ คนนึงให้ทุกคนฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดจากการเลือกปฏิบัติแบบเดียวกับทาวน์อินทาวน์
เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่เล่าให้ฟังว่า มีเด็กผู้หญิง อายุย่าง 3 ขวบ ไม่ได้เข้าเรียนที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในภาคอีสาน สาเหตุเพราะเป็นลูกผู้ติดเชื้อเอชไอวี คือ พ่อแม่มีเชื้อฯ แต่ตัวเด็กเองนั้นไม่ได้รับเชื้อฯ
ศูนย์ฯ มีแผนจะทำประชามติกับผู้ปกครองเพื่อพิจารณาว่าจะให้เด็กคนนี้เข้าเรียนหรือ ไม่ แต่ท้ายที่สุดก็ยกเลิกไป เพราะตัวแทนจากโรงพยาบาลและองค์กรที่ทำงานด้านเอดส์เข้าไปพูดคุยทำความเข้า ใจกับผู้ดูแลเด็กที่ศูนย์ฯ
พอเปิดเทอม เด็กน้อยก็ไปเรียนหนังสือตามปกติ แต่ผู้ปกครองคนอื่นๆ กลับไม่พาลูกไปเรียน ทั้งห้องมีเด็กประมาณ 30 คน แต่วันนั้นมีเด็กมาเรียนแค่ 5 คนเพราะผู้ปกครองคนอื่นๆ กลัวว่าลูกตัวเองจะติดเชื้อ แถมยังบอกด้วยว่า ถ้ายังเอาเด็กคนนี้มาเรียนอีก จะเอาลูกไปเรียนที่อื่น
เด็กน้อยคนนี้ไปเรียนที่ศูนย์ฯ ได้ 2 วัน ก็ไม่ได้ไปเรียนอีก เพราะครูบอกว่าไม่ต้องมาเรียนก็ได้ เดี๋ยวทางศูนย์ฯ จะเอานม เอาหนังสือไปให้อ่านที่บ้านเอง เนื่องจากศูนย์ฯ ก็กลัวถูกยุบ ถ้าไม่มีเด็กคนอื่นๆ มาเรียนเลย พอเด็กน้อยไม่ไปเรียน เด็กคนอื่นๆ ก็เข้าเรียนตามปกติ
พ่อแม่เด็กหญิงคนนี้รู้สึกไม่สบายใจที่ลูกตัวเองไม่ได้ไปเรียนและถูกล้อ ทั้งที่ใจอยากให้ลูกได้เรียนหนังสือและมีเพื่อนเล่น แถมตัวเขาเองก็โดนกดดัน ถูกเสียดสีจากชาวบ้าน โดนดูถูก เพราะความเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี
จนวันหนึ่งผมเข้าไปเจอเด็ก ระหว่างที่เราคุยกัน เด็กน้อยหันไปถามแม่ว่า“ทำไมหนูถึงไม่ได้ไปโรงเรียน” แม่ไม่ได้ตอบอะไร
แต่ผมรู้สึก…
ผมสะอึก เหมือนน้ำตาตกใน พูดอะไรไม่ออก คิดกลับไปกลับมาในใจว่าจะบอกเด็กน้อยยังไง ผมไปสอบถามกับผู้ปกครองคนอื่นๆ ซึ่งบอกว่าไม่ได้รังเกียจ แต่อยากให้ต่างคนต่างอยู่ บางคนบอกว่า “พ่อแม่ติดเชื้อฯ ยังไงลูกก็ต้องติดเชื้อฯ” ทั้งที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง เพราะลูกที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อฯ ไม่ได้ติดเชื้อฯ ทุกคน และยิ่งตอนนี้มียาต้านไวรัส ยิ่งทำให้ลูกที่เกิดมาแทบไม่มีโอกาสติดเชื้อฯ เลย
แม้หลายคนจะช่วยกันแก้ปัญหาอยู่ แต่ผ่านมา 3 เดือนแล้วเด็กน้อยก็ยังอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ไปเรียน ไม่ได้ไปเล่นกับเพื่อน เด็กน้อยอายุ 3 ขวบเท่านั้น อยากให้ทุกคนลองนึกดูว่าจะต้องเผชิญกับการกีดกันและเลือกปฏิบัติไปอีกกี่สิบปีในชีวิต หากสังคมยังละเมิดสิทธิมนุษยชนและรังเกียจผู้ติดเชื้อฯ อย่างที่โรงแรมทาวน์อินทาวน์ทำ บอกโรงแรมทาวน์อินทาวน์ให้เลิกกีดกันผู้ติดเชื้อเอชไอวี
ผมเป็นคนหนึ่งที่มีเชื้อเอชไอวี และตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้ใช้บริการโรงแรมทาวน์อินทาวน์เป็นสถานที่จัดงาน ให้ความรู้เพื่อให้เราทุกคนอยู่ร่วมกันได้ การที่โรงแรมไม่อนุญาตให้ผู้ติดเชื้อฯ และองค์กรที่ทำงานด้านเอดส์ใช้บริการของโรงแรมเป็นการกีดกันสองต่อ ทั้งในฐานะที่พวกเราบางคนมีเชื้อเอชไอวี และในด้านการดำเนินงานเพื่อให้ความรู้เรื่องเอชไอวีแก่สังคม การ ออกนโยบายไม่รับผู้ติดเชื้อฯ ให้ใช้บริการ โดยอ้างว่าลูกค้าคนอื่นกังวลใจที่จะใช้ห้องพัก ห้องอาหารร่วมกันนั้น เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น
เอชไอวี/เอดส์ ไม่ได้ติดต่อจากการใช้ชีวิตประจำวันร่วมกัน กินน้ำ กินข้าว ใช้ที่นอนอันเดียวกัน การที่โรงแรมทาวน์อินทาวน์ออกนโยบายเช่นนี้ ถือเป็นการตีตราผู้ติดเชื้อฯ
ผมอยากให้ผู้บริหารของโรงแรมทาวน์อินทาวน์ออกมาแสดงความรับผิด ชอบ ด้วยการขอโทษต่อสังคม ต่อผู้ติดเชื้อฯ และเปลี่ยนแปลงนโยบายใหม่ที่ไม่รังเกียจ กีดกันผู้ติดเชื้อฯ
ผมไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นมาและเงียบหายไปอีก ถ้าเราเงียบ เฉย จะเท่ากับยอมรับให้มีการละเมิดสิทธิกันอยู่แบบนี้ ตั้งแต่ผู้ใหญ่จนถึงเด็กตัวเล็กๆ ผมไม่ต้องการความสงสาร แต่ผมขอเรียกร้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรได้รับเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นคนรวย คนจน หรือผู้ติดเชื้อฯ ก็ต้องได้รับเหมือนกัน
เพราะผู้ติดเชื้อฯ ก็เป็นคน มีความฝัน ความหวัง ความกลัว และความเสียใจ เหมือนคนทั่วไป