‘เชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี’

อาจเป็นสาเหตุของตับแข็งหรือมะเร็งตับได้ หากไม่ได้รับการดูแลรักษา โดยเฉพาะในผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีจะมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ที่ไม่ติดเชื้อ ทั้งนี้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีทุกคนควรได้รับการตรวจหาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี เพื่อจะได้วางแผนการดูแลรักษาตนเอง ซึ่งสิทธิประโยชน์ในทุกระบบหลักประกันสุขภาพครอบคลุมการตรวจและรักษา โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

จะรู้ได้อย่างไรว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี

ปกติผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่รักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวีจะได้รับการตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของตับ (SGPT หรือ ALT) ทุก 6 เดือน แต่การตรวจนี้ไม่สามารถบอกได้ว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบหรือไม่ ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือซี อาจมีค่าการทำงานของตับปกติหรือไม่มีอาการแสดงให้เห็น ดังนั้นจะรู้ว่าติดเชื้อหรือไม่ต้องตรวจเลือดเพื่อหาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี

การตรวจหาการติดเชื้อตับอักเสบบี หรือตรวจหา HBsAg

เป็นการตรวจหาส่วนประกอบของเชื้อ ซึ่งถ้าพบว่า ‘ผลเป็นบวก’ หมายความว่ามีเชื้อ HBV อยู่ในร่างกาย มีขั้นตอนการตรวจ ดังนี้

  1. ตรวจ HBsAg, HBeAb เพื่อประเมินการแบ่งตัว เพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส
  2. ตรวจประเมิน SGPT/ ALT เพื่อติดตามการทำงานของตับ
  3. ตรวจปริมาณไวรัสตับอักเสบบีในเลือด (HBV DNA)
  4. การตรวจประเมินสภาพตับ เช่น อัลตราซาวนด์ ตรวจชิ้นเนื้อตับ

การตรวจ Anti HCV

การตรวจ ‘Anti HCV’ หรือ ‘การตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบซี’ เป็นการตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบซี ถ้าผลการตรวจ Anti HCV เป็นบวก หมายถึงเคยได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ซึ่งคนจำนวนหนึ่งเมื่อรับเชื้อ ร่างกายจะสร้าง Anti HCV และสามารถกำจัดเชื้อได้หมดภายใน 6 เดือน เมื่อตรวจเลือดจะให้ผลการตรวจ Anti HCV เป็นบวกแต่ไม่มีเชื้อเหลืออยู่ในร่างกายแล้ว ขณะที่คนอีกจำนวนหนึ่งร่างกายสร้าง Anti HCV เช่นกันแต่ไม่สามารถกำจัดเชื้อได้หมด หมายความว่ายังมีเชื้อ HCV อยู่ในร่างกาย ดังนั้น การตรวจ Anti HCV เป็นการตรวจคัดกรองเบื้องต้น หากให้ผลเป็นบวก จำเป็นต้องตรวจว่ายังมีเชื้ออยู่ในร่างกายหรือไม่ด้วยการตรวจหาเชื้อ HCV ด้วยวิธี PCR

ช่องทางการติดต่อไวรัสตับอักเสบบีและซี

ไวรัสตับอักเสบบีและซี มีช่องทางการติดต่อคล้ายๆ กับเชื้อเอชไอวี คือ 1) ทารกที่เกิดจากหญิงตั้งครรภ์ที่มีเชื้อ 2) ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน และ 3) การใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกัน ‘แต่’ ไวรัสตับอักเสบบีและซี ไม่ติดจากการใช้ชีวิตประจำวันร่วมกัน

การป้องกันไวรัสตับอักเสบบีและซี

  • ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • ไม่ใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกัน

เฉพาะไวรัสตับอักเสบบี

  • เด็กแรกเกิดทุกคนจะได้รับวัคซีนป้องกัน
  • สำหรับผู้ใหญ่ ผู้ที่ตรวจเลือดแล้วไม่พบการติดเชื้อและไม่มีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบี มีวัคซีนป้องกัน (กรณีผู้ใหญ่ยังต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง)

ทำไมผู้ติดเชื้อเอชไอวีต้องรู้เรื่องไวรัสตับอักเสบบี

เพราะผู้ติดเชื้อเอชไอวีและติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ควรได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวีที่ใช้รักษาทั้งเอชไอวี และไวรัสตับอักเสบบี คือ ยาต้านไวรัสฯ สูตรยา 3 ตัวที่มียา 3TC และ TDF รวมอยู่ด้วย

การดูแลรักษาสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีและติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี

ไวรัสตับอักเสบซีมีหลายสายพันธุ์ ซึ่งแต่ละสายพันธุ์มีระยะเวลาในการรักษาและตัวยารักษาต่างกัน ยาที่ใช้ยังมีราคาสูงจึงไม่สามารถรักษาผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบซีทุกรายได้ ดังนั้น จึงต้องมีการตรวจหาสายพันธุ์ ตรวจสภาพตับ เพื่อประเมินความเร่งด่วนว่าจำเป็นต้องรักษาหรือสามารถรอได้ กรณีผู้ติดเชื้อเอชไอวีต้องรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเอชไอวีสามารถควบคุมได้แล้ว ไม่ป่วยเอดส์ ส่วนเหตุผลที่ต้องหยุดแอลกอฮอล์ก่อนและระหว่างการรักษา เพราะแอลกอฮอล์อาจทำให้ตับมีการอักเสบที่รุนแรงขึ้น

ทางเลือกใหม่ในการรักษาไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง

นอกจากการรักษาด้วยยาฉีดแล้ว ปัจจุบันมียาต้านไวรัสในรูปแบบของยากินที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสตับอักเสบซีโดยตรง (DAA: Direct-Acting Antiviral) ซึ่งมีผลข้างเคียงที่ต่ำกว่าเพ็ก – อินเตอร์เฟียรอน ตัวอย่างยากลุ่ม DAA เช่น โซฟอสบูเวียร์ (Sofosbuvir: SOF) ดาคลาสตาเวียร์ (Daclatasvir: DCV) และ เลดิพาสเวียร์ (Ledipasvir: LDV)

การใช้ยาต้านไวรัสกลุ่ม DAA เช่น โซฟอสบูเวียร์ ร่วมกับเพ็ก – อินเตอเฟรอน และไรบาไวริน จะสามารถลดระยะเวลาการรักษาลงเหลือ 12 – 24 สัปดาห์ และพบอัตราการรักษาหายสูงถึงร้อยละ 90

แผ่นพลิก “รู้จักไวรัสตับอักเสบบีและซี” แบบ E-Book
ดาวน์โหลดแผ่นพลิก “รู้จักไวรัสตับอักเสบบีและซี”