24 กันยายน 2568: กลุ่มภาคประชาสังคมด้านสุขภาพทั่วโลกรณรงค์ค้านการจดสิทธิบัตรยาลีนาคาพาเวียร์ และเรียกร้องให้กิลิแอดเร่งขึ้นทะเบียนยาป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีชนิดฉีดและออกฤทธิ์นานในประเทศต่าง ๆ เพื่อการเข้าถึงสำหรับทุกคน

ย้อนไปเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 บริษัทยากิลิแอดประกาศสัญญาการให้ใช้ “สิทธิบัตรโดยสมัครใจ” กับยาป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในชื่อสามัญ “ลีนาคาพาเวียร์” ชนิดฉีดที่ออกฤทธิ์นาน 6 เดือนกับประเทศกำลังพัฒนาเพียง 115 ประเทศ และอีก 5 เขตอำนาจพิเศษนั้น

ภาคีพันธมิตรภาคประชาสังคมระดับโลกมองว่า การมีเงื่อนไขแบบนี้เป็นการสกัดกั้นการเข้าถึงยาในอีกหลายประเทศที่อยู่นอกสัญญา แต่มีอัตราการติดเชื้อเอชไอวีสูงและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่เป็นคนข้ามเพศ กลุ่มความหลากหลายทางเพศ ชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย ผู้ที่มีรสนิยมรัก 2 เพศ พนักงานบริการทางเพศ และหญิงวัยรุ่นและผู้หญิง ซึ่งในช่วงที่มีการทดลองทางคลินิกเพื่อการป้องกันประชากรกลุ่มนี้พบว่า ยาลีนาคาพาเวียร์ชนิดฉีดและออกฤทธิ์นาน ให้ผลดีกว่ายา PrEP (เพร็พ) แบบกินมาก

เอเชีย รัสเซส จากองค์กร Health GAP กล่าวว่า “ยาลีนาคาพาเวียร์เป็นยาที่จะใช้ยุติการระบาดของเอชไอวีทั่วโลกได้ ถ้าสามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง ข้อจำกัดที่ขัดขวางการเข้าถึงยาลีนาคาพาเวียร์ชื่อสามัญในราคาแพงจึงเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ ความโลภของกิลิแอดจะบีบให้ชุมชนทั่วโลกต้องใช้การป้องกันเอชไอวีที่ด้อยกว่า ทำให้การระบาดยืดยาวออกไปโดยไม่จำเป็น”

นักเคลื่อนไหวมีข้อสังเกตว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ทั่วโลกมากกว่า1 ใน 4 อยู่ใน 26 ประเทศที่ไม่อยู่ในสัญญาของกิลิแอด เช่น อาร์เจนตินา บราซิล เม็กซิโก และเปรู เป็นต้น จะเป็นช่องว่างให้กิลิแอดกอบโกยกำไรจากประเทศที่อยู่นอกสัญญา โดยตั้งราคาให้ต่างกันแต่ไม่มีความโปร่งใส ทำให้ยามีราคาแพงจนซื้อไม่ไหว ทั้งที่กิลิแอดใช้อาสาสมัครในประเทศเหล่านี้ในการทดลองยาลีนาคาพาเวียร์ และเอาข้อมูลไปขึ้นทะเบียนยากับ อย. ของสหรัฐฯ ได้จนสำเร็จในเดือนพฤษภาคม 2025

มีการประเมินว่าจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ทั่วโลกเพิ่มอย่างรวดเร็วจาก 3,500 ราย เป็น 5,800 รายต่อวัน เนื่องจากการที่รัฐบาลทรัมป์ได้ยกเลิกการสนับสนุนโครงการป้องกันเอชไอวีทั่วโลก รวมถึงโครงการยา PrEP ที่มีคน 3.5 ล้านคนกินยาอยู่ มีการคาดการณ์ว่ามีคนทั่วโลกประมาณ 20 ล้านคนที่ต้องการยา PrEP

ในขณะที่โครงการกองทุนโลกและกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ยืนยันแผนที่จะร่วมมือกับบริษัทกิลิแอด เพื่อให้ยาลีนาคาพาเวียร์แบบออกฤทธิ์นานกับคนเพียง 2 ล้านคน ใน 9 –12 ประเทศในอีก 3 ปีข้างหน้า แทนที่จะส่งเสริมให้ทุกคนเข้าถึงยาลีนาคาพาเวียร์ได้

ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าการจัดสรรให้มีการเข้าถึงยาเพียงจำนวนจำกัด จะช่วยลดอัตราการติดเชื้อเอชไอวีในภาพรวมได้เพียงเล็กน้อย และจะเป็นการวางเป้าหมายต่ำเกินไปสวนทางกับการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก

ในการประชุมสามัญของสหประชาชาติ (UN General Assembly) ที่กรุงนิวยอร์ก มีกลุ่มภาคประชาสังคมด้านสุขภาพประกาศการรณรงค์ระดับโลก เพื่อให้ยาลีนาคาพาเวียร์ชนิดออกฤทธิ์นานสำหรับการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีสามารถเข้าถึงได้ในราคาไม่แพงได้ทั่วโลก โดยยื่นคำคัดค้านการจดสิทธิบัตร ผลักดันให้ยามีราคา 40 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี (ประมาณ 1,200 บาท) ขจัดอุปสรรคในการขึ้นทะเบียนยา และรณรงค์สื่อสารทางนโยบายกับบริษัทกิลิแอดและรัฐบาลประเทศต่างๆ ให้ยา PrEP นี้สามารถเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง

กลุ่มภาคประชาสังคมดังกล่าวได้ยื่นคำคัดค้านคำขอรับสิทธิบัตรยาลีนาคาพาเวียร์แล้วในหลายประเทศ และรณรงค์ผลักดันให้มีการนำ ‘มาตรการใช้สิทธิตามสิทธิบัตร’ หรือซีแอล มาใช้เพื่อขจัดอุปสรรคด้านทรัพย์สินทางปัญญา ในประเทศที่มีศักยภาพที่จะผลิตยาลีนาคาพาเวียร์ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย และประเทศที่ไม่อยู่ในสัญญาของกิลิแอด

ออตโตมัน แมลลุก (Othoman Mellouk) องค์กร International Treatment Preparedness Coalition (ITPC) กล่าวว่า “ในช่วงเวลาไม่กี่เดือนนี้ เราได้เห็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญเกิดขึ้น อย. ของสหรัฐฯ ได้อนุมัติให้ทะเบียนยาลีนาคาพาเวียร์สำหรับใช้เป็นยา PrEP องค์การอนามัยโลกปรับปรุงแนวทางการป้องกันเอชไอวี โดยแนะนำให้ใช้ยาลีนาคาพาเวียร์ชนิดฉีดและออกฤทธิ์นานได้ แต่ลำพังวิทยาศาสตร์ไม่อาจแก้ไขปัญหาได้ การผูกขาดตลาด ราคาแพง และความล่าช้าในการขึ้นทะเบียนยา คืออุปสรรคสำคัญขวางการเข้าถึง เพราะฉะนั้นการพูดเรื่องนี้ในการประชุมนี้ (การประชุมสามัญของสหประชาชาติ) จะเป็นเรื่องเร่งด่วน”
ปีเตอร์ เมย์บาร์ดัค (Peter Maybarduk) ผู้อำนวยการโครงการการเข้าถึงยา องค์กร Public Citizen กล่าวว่า “วันนี้เราประกาศการรณรงค์ระดับโลก เพื่อให้ยา PrEP ชนิดฉีดและออกฤทธิ์นานมีราคาถูกและเข้าถึงได้ทุกคน ภาคประชาสังคมจากทั่วโลกจะร่วมมือกันท้าทายสิทธิบัตรยาลีนาคาพาเวียร์ของกิลิแอด โดยการยื่นคำคัดค้านตามกระบวนการทางกฎหมาย ต่อสู้ให้ประเทศที่อยู่นอกสัญญาของกิลิแอดเข้าถึงยาลีนาคาพาเวียร์ราคาไม่แพงให้ได้ และผลักดันให้รัฐบาลต่างๆ ให้มียา PrEP ชนิดออกฤทธิ์นานและเข้าถึงได้ให้กับชุมชน เราจะร่วมมือกันขจัดอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อยุติเอดส์”

นักเคลื่อนไหวให้ข้อมูลอีกว่า สหรัฐอเมริกาได้ตั้งงบประมาณที่จะจัดซื้อยาลีนาคาพาเวียร์ชนิดออกฤทธิ์นานไว้แล้ว โดยได้เจรจาในทางลับจนได้ราคา 100 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี และจะจัดซื้อได้เกินกว่าเป้าหมายที่สหรัฐฯ ที่วางไว้สองล้านคน แต่งบประมาณนี้ ประมาณ 2.3 พันล้านดอลลาร์ ที่จัดสรรให้โครงการ PEPFAR ในปีงบประมาณ 2026 ถูกประธานาธิบดีทรัมป์ระงับโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และรัสเซลล์ วอท (Russell Vought) ผู้อำนวยการสำนักงานงบประมาณและการบริหารของสหรัฐฯ รับลูกและปฏิเสธไม่ปล่อยงบประมาณดังกล่าว นอกจากองค์กรแหล่งทุนแล้ว แต่ละประเทศต้องให้คำมั่นที่จะจัดสรรทรัพยากร เพื่อที่จะเพิ่มการเข้าถึง ออกแนวทางการใช้ยา PrEP แบบออกฤทธิ์นาน ให้การอบรมแก่เจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพ และฟื้นฟูโครงการเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มประชากรหลัก

ลูซ มารีนา (Luz Marina) องค์กร GHP Corp ในโคลอมเบีย กล่าวว่า “เราขอเรียกร้องให้ทุกรัฐบาลทำหน้าที่ของตนเพื่อรับประกันว่าจะทำให้เกิดการเข้าถึงอย่างทั่วถึงและทันเวลา จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ยุทธศาสตร์เรื่อง PrEP เข้มแข็งมากขึ้น และประสานความร่วมมือระดับภูมิภาค เพื่อใช้เครื่องมือทางกฎหมาย วิชาการ และความร่วมมือให้เต็มที่ เพื่อให้ยาลีนาคาพาเวียร์ชนิดออกฤทธิ์นาน ที่เป็นความหวังที่จะควบคุมและป้องกันเอชไอวีได้จริง สามารถเข้าถึงได้”

นักเคลื่อนไหวยังเรียกร้องอีกว่ารัฐบาลอินเดียควรเร่งดำเนินการเพื่อตอบสนองความต้องการของโลกในเรื่องนี้ด้วย

ลีนา เมนกานี (Leena Menghaney) ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและการเข้าถึงยาในอินเดีย กล่าวว่า “ข้อตกลงเหล่านี้จะเดินหน้าไม่ได้ จนกว่ายาชื่อสามัญจะขึ้นทะเบียนยาในอินเดียได้สำเร็จและได้รับอนุญาตให้ส่งออก ตอนนี้อินเดียต้องเร่งการตรวจสอบและพิจารณาการขึ้นทะเบียนยาโดยใช้ช่องทางพิเศษ เพื่อให้ยาชื่อสามัญได้ใบรับรองผลิตภัณฑ์ยา (Certificate of Pharmaceutical Product; CoPP) และส่งออกได้ทั่วโลก ความล่าช้าใด ๆ ในการอนุมัติทะเบียนยาของอินเดีย จะทำให้การมียาลีนาคาพาเวียร์ชนิดออกฤทธิ์นานในราคา 40 ดอลลาร์ต่อคนต่อปีทั่วโลกล่าช้าออกไปด้วย”

อ้างอิงที่มาข่าว: https://makemedicinesaffordable.org/activists-demand-40-a-year-generic-price-for-breakthrough-hiv-prevention-drug-be-made-available-to-all-low-and-middle-income-countries/